โพสต์โดย : Admin เมื่อ 23 มี.ค. 2560 01:37:11 น. เข้าชม 166443 ครั้ง
หลังจากที่เมื่อวันที่ 21 มี.ค. 2560 ได้มีประกาศของหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติได้มีคำสั่งหัวหน้า คสช.ที่ 16/2560 เรื่อง การบริหารงานบุคคลของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ซึ่งในคำสั่งข้อที่ 7 ระบุว่า"ข้อ 7 ให้แก้ไขคำว่า “ขั้นเงินเดือน” ในกฎหมายว่าด้วยระเบียบข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา เป็นคำว่า “เงินเดือน” ทุกแห่ง" ซึ่งหลังจากที่มีคำสั่งนี้ออกมาทำให้มีคำถามเกี่ยวกับการเลื่อนเงินเดือนจะเป็นแบบไหน ดร.ชัยพฤกษ์ เสรีรักษ์ ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ก็ได้ออกมาไขคำตอบแล้วว่าต่อไปจะให้เงินเดือนของข้าราชการครูเลื่อนเป็นเปอร์เซ็นต์ครับ ซึงเป็นการอวสารของระบบขั้นเงินเดือนของคุณครูครับ
ข่าวเมื่อวานนี้ (22มี.ค.)ดร.ชัยพฤกษ์ เสรีรักษ์ ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) เปิดเผยว่า ตามที่พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ได้มีคำสั่งหัวหน้า คสช.ที่ 16/2560 เรื่อง การบริหารงานบุคคลของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา “คำสั่งดังกล่าวยังได้มีการปรับแก้คำว่า “ขั้นเงินเดือน” ในกฎหมายว่าด้วยระเบียบข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา เป็นคำว่า “เงินเดือน” เนื่องจากพ.ร.บ.เงินเดือนและเงินประจำตำแหน่ง ระบุให้ขึ้นเงินเดือนเป็นเปอร์เซ็นต์ แต่พ.ร.บ.เงินเดือน เงินวิทยฐานะ และเงินประจำตำแหน่งของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ยังกำหนดเป็นขั้นเงินเดือนอยู่ ดังนั้น จึงต้องปรับให้เป็นระบบเดียวกับข้าราชการอื่นๆ
เมื่อวันที่ 21 มี.ค.นั้น คำสั่งดังกล่าวมีสาระสำคัญเพื่อการจัดระบบการศึกษาของชาติให้มีมาตรฐานทั้งในด้านหลักสูตรการเรียน การสอนและในด้านบุคลากรให้เหมาะสม เพื่อให้การปฏิรูประบบการศึกษาเป็นไปตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ฉบับที่ผ่านประชามติ ที่รอการประกาศใช้ จำเป็นต้องปรับปรุงองค์กรกลางบริหารงาน บุคคลของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษารวมทั้งหลักเกณฑ์และเงื่อนไขอื่น ที่จะสนับสนุนการบริหารงานด้านบุคคลให้สามารถดำเนินการได้อย่างมี ประสิทธิภาพ
ปลัด ศธ.กล่าวต่อไปว่า การปรับปรุงองค์กรกลางการบริหารงานบุคคลฯ มีการปรับ 2 ส่วน คือ คณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ.) และคณะอนุกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (อ.ก.ค.ศ.) วิสามัญ โดยในส่วนของบอร์ด ก.ค.ศ.นั้น จะทำหน้าที่เป็นบอร์ดเชิงนโยบายมากขึ้น ในหลักการเดียวกับคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (ก.พ.) และปรับองค์ประกอบของบอร์ดจากเดิม 31 คน เหลือ 15 คน ผู้ทรงคุณวุฒิจาก 9 คน เหลือ 3 คนในด้านการบริหารทรัพยากรบุคคล ด้านการศึกษา และด้านกฎหมาย ส่วนผู้แทนครูและบุคลากรทางการศึกษา 12 คน
และผู้แทนจากกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา (กก.) รวมถึงกระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) จะไม่มีในบอร์ดใหม่ อย่างไรก็ตาม ในส่วนของผู้แทนครูฯ จะไปอยู่ในอ.ก.ค.ศ.วิสามัญ ที่จะมีในเบื้องต้น 3 ชุดจากเดิมที่มี 11 ชุด เพื่อทำการแทน ก.ค.ศ. ได้แก่ อ.ก.ค.ศ. วิสามัญเกี่ยวกับการอุทธรณ์และการร้องทุกข์ อ.ก.ค.ศ. วิสามัญเกี่ยวกับวินัยและการออกจากราชการ อ.ก.ค.ศ. วิสามัญเกี่ยวกับกฎหมายและระเบียบข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา โดยองค์ประกอบของอ.ก.ค.ศ.วิสามัญแต่ละชุดจะลดจำนวนเหลือไม่เกิน 15 คน จากเดิมที่เคยมีคณะละ 14-23 คน ส่วนอ.ก.ค.ศ.วิสามัญเฉพาะกิจที่มีอยู่ประมาณ 200 คณะยังคงให้ปฏิบัติหน้าที่ต่อไป
“คำสั่งดังกล่าวยังได้มีการปรับแก้คำว่า “ขั้นเงินเดือน” ในกฎหมายว่าด้วยระเบียบข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา เป็นคำว่า “เงินเดือน” เนื่องจากพ.ร.บ.เงินเดือนและเงินประจำตำแหน่ง ระบุให้ขึ้นเงินเดือนเป็นเปอร์เซ็นต์ แต่พ.ร.บ.เงินเดือน เงินวิทยฐานะ และเงินประจำตำแหน่งของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ยังกำหนดเป็นขั้นเงินเดือนอยู่ ดังนั้น จึงต้องปรับให้เป็นระบบเดียวกับข้าราชการอื่นๆ”ดร.ชัยพฤกษ์ กล่าวและว่า นอกจากนี้ คำสั่งหัวหน้า คสช.ยังให้ ก.ค.ศ.เป็นผู้ดำเนินการสอบแข่งขันเพื่อบรรจุและแต่งตั้งบุคคลเข้ารับราชการเป็นข้าราชการ ครูและบุคลากรทางการศึกษา เป็นการปลดล็อคการปรับระบบการสอบแข่งขัน ที่อนาคตจะให้ส่วนกลางเป็นผู้จัดสอบภาค ก หรือความรู้ทั่วไปเช่นเดียวกับการสอบ ก.พ. แต่ ก.ค.ศ.ยังสามารถมอบอำนาจให้คณะกรรมการศึกษาธิการจังหวัด (กศจ.) ดำเนินการแทนได้ ทั้งนี้ บอร์ด ก.ค.ศ.ชุดใหม่ต้องไปกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการให้ได้มาซึ่งผู้ทรงคุณวุฒิและผู้แทนครูฯ ในอ.ก.ค.ศ.วิสามัญชุดต่างๆ ด้วย
ด้าน นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รมว.ศึกษาธิการ กล่าวว่า การปรับองค์ประกอบบอร์ด ก.ค.ศ.โดยไม่มีผู้แทนครูนั้น ไม่ได้เกิดจากความขัดแย้งหรือมองว่าผู้แทนครูเป็นศัตรู แต่เพื่อให้การบริหารงานมีประสิทธิภาพ สามารถปรับแก้กฏระเบียบต่าง ๆ ได้ด้วยความรวดเร็ว เพื่อผลประโยชน์ของครูอย่างแท้จริง เพราะที่ผ่านมา คสช.มีคำสั่งยกเลิก อ.ก.ค.ศ.เขตพื้นที่ฯแล้วก็ต้องปรับบอร์ด ก.ค.ศ.ให้สอดคล้องกัน โดยผู้แทนครูก็ไปทำหน้าที่ อ.ก.ค.ศ.วิสามัญเพื่อกลั่นกรองงานเสนอมา ซึ่งได้มีการทำความเข้าใจกันแล้วเชื่อว่าไม่น่าจะมีปัญหาอีก ส่วนที่เกรงว่าจะมีการเคลื่อนไหวของผู้แทนครูนั้น ตนคงไม่ยอม ซึ่งไม่ใช่ว่าตนก้าวร้าวแต่ประเทศต้องเดินหน้าด้วยเหตุผลและกฎหมาย มิฉะนั้นคงทำงานกันไม่ได้ อย่างไรก็ตามเรื่องนี้ไม่ใช่แนวคิดของตนแต่เป็นการดำเนินการต่อเนื่องตามคำสั่ง คสช.ที่มีมาก่อนหน้านี้
เนื้อหาในคำสั่ง
เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ ๒๑ มีนาคม ๒๕๖๐ เผยแพร่คำสั่ง
คำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ
ที่ ๑๖/๒๕๖๐
เรื่อง การบริหารงานบุคคลของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา
โดยที่ในการจัดระบบการศึกษาของชาติให้มีมาตรฐานทั้งในด้านหลักสูตรการเรียนการสอนและในด้านบุคลากรให้เหมาะสมกับการเป็นวิชาชีพชั้นสูงนั้น จำเป็นต้องมีองค์กรกลางในการบริหารงานบุคคลที่มีคุณภาพซึ่งสามารถผลักดันและพัฒนาระบบการศึกษาของชาติไปสู่การปฏิรูประบบการศึกษาตามที่รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ฉบับที่ผ่านประชามติ ได้กำหนดเป้าหมายและแนวทางไว้ จึงจำเป็นต้องปรับปรุงองค์กรกลางบริหารงานบุคคลของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา รวมทั้งหลักเกณฑ์และเงื่อนไขอื่นที่จะสนับสนุนการบริหารงานด้านบุคคลให้สามารถดำเนินการได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อเป็นการเตรียมการและรองรับการปฏิรูปการศึกษาอันเป็นส่วนสำคัญส่วนหนึ่งในการปฏิรูปประเทศที่จะมีการดำเนินการอย่างเต็มรูปแบบในระยะเวลาอันใกล้นี้
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๔๔ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช ๒๕๕๗ หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติโดยความเห็นชอบของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ จึงมีคำสั่ง ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ ให้บุคคลซึ่งดำรงตำแหน่งกรรมการใน ก.ค.ศ. ตามมาตรา ๗ (๔) และ (๕) แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. ๒๕๔๗ ที่ดำรงตำแหน่งอยู่ในวันก่อนวันที่คำสั่งนี้ใช้บังคับพ้นจากตำแหน่งกรรมการใน ก.ค.ศ.
ข้อ ๒ ให้ ก.ค.ศ. ตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ประกอบด้วย
(๑) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานกรรมการ
(๒) กรรมการโดยตำแหน่ง ได้แก่ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ เลขาธิการ ก.พ. เลขาธิการสภาการศึกษา เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน เลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา และเลขาธิการคุรุสภา
(๓) กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ซึ่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการแต่งตั้งจากบุคคลซึ่งมีความรู้ ความเชี่ยวชาญ และประสบการณ์สูงในด้านการบริหารทรัพยากรบุคคล ด้านการศึกษา และด้านกฎหมาย ด้านละหนึ่งคน
ให้เลขาธิการ ก.ค.ศ. เป็นกรรมการและเลขานุการ และให้เลขาธิการ ก.ค.ศ. แต่งตั้งข้าราชการในสำนักงาน ก.ค.ศ. จำนวนไม่เกินสองคนเป็นผู้ช่วยเลขานุการ
กรณีที่จะแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนหรือข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาผู้ใดให้เป็นกรรมการตาม (๓) ผู้นั้นต้องดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูงหรือมีวิทยฐานะเชี่ยวชาญพิเศษ
ข้อ ๓ ในกรณีที่เห็นสมควร หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติอาจมีคำสั่งให้เปลี่ยนแปลงองค์ประกอบของคณะกรรมการตามข้อ ๒ ได้ตามความเหมาะสม
ข้อ ๔ ให้ อ.ก.ค.ศ. วิสามัญ ซึ่ง ก.ค.ศ. แต่งตั้งตามมาตรา ๑๗ แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. ๒๕๔๗ ที่ดำรงตำแหน่งอยู่ในวันก่อนวันที่คำสั่งนี้ใช้บังคับพ้นจากตำแหน่ง
ข้อ ๕ ให้ ก.ค.ศ. มีอำนาจแต่งตั้ง อ.ก.ค.ศ. วิสามัญ เพื่อทำการใด ๆ แทน ก.ค.ศ. ดังต่อไปนี้
(๑) อ.ก.ค.ศ. วิสามัญเกี่ยวกับการอุทธรณ์และการร้องทุกข์
(๒) อ.ก.ค.ศ. วิสามัญเกี่ยวกับวินัยและการออกจากราชการ
(๓) อ.ก.ค.ศ. วิสามัญเกี่ยวกับกฎหมายและระเบียบข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา
นอกจาก อ.ก.ค.ศ. วิสามัญ ตามวรรคหนึ่ง ก.ค.ศ. อาจแต่งตั้ง อ.ก.ค.ศ. วิสามัญอื่น เพื่อทำการใด ๆ แทน ก.ค.ศ. หรือทำหน้าที่เช่นเดียวกับคณะอนุกรรมการอื่นที่กำหนดตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาก็ได้
ข้อ ๖ ให้ อ.ก.ค.ศ. วิสามัญ แต่ละคณะ มีจำนวนไม่เกินสิบห้าคน ประกอบด้วย
(๑) ประธานอนุกรรมการ ซึ่งแต่งตั้งจากกรรมการใน ก.ค.ศ. เว้นแต่มีเหตุผลความจำเป็น อาจแต่งตั้งบุคคลอื่นที่ไม่เป็นกรรมการใน ก.ค.ศ. เป็นประธานอนุกรรมการก็ได้
(๒) อนุกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวนไม่เกินสิบเอ็ดคน ที่มีความรู้ ความเชี่ยวชาญ และประสบการณ์สูงในด้านการบริหารทรัพยากรบุคคล ด้านการศึกษา ด้านกฎหมาย และด้านอื่น ๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อการปฏิบัติหน้าที่ของ อ.ก.ค.ศ. วิสามัญคณะนั้น
(๓) อนุกรรมการซึ่งเป็นข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา สังกัดกระทรวงศึกษาธิการ จำนวนสองคน
ให้เลขาธิการ ก.ค.ศ. แต่งตั้งข้าราชการในสำนักงาน ก.ค.ศ. เป็นอนุกรรมการและเลขานุการ และอาจแต่งตั้งข้าราชการในสำนักงาน ก.ค.ศ. จำนวนไม่เกินสองคนเป็นผู้ช่วยเลขานุการ
กรณีที่จะแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนหรือข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาผู้ใดให้เป็นอนุกรรมการตาม (๒) ผู้นั้นจะต้องดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูงหรือประเภทบริหารระดับต้น ประเภทอำนวยการระดับสูง ประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิหรือระดับเชี่ยวชาญ หรือมีวิทยฐานะไม่ต่ำกว่าเชี่ยวชาญ หรืออาจแต่งตั้งจากผู้ซึ่งเคยดำรงตำแหน่งกรรมการผู้แทนข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาใน ก.ค.ศ. หรือผู้ซึ่งเคยดำรงตำแหน่งอนุกรรมการใน อ.ก.ค.ศ. วิสามัญ ตามมาตรา ๑๗ แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. ๒๕๔๗ ก็ได้
คุณสมบัติ ลักษณะต้องห้าม หลักเกณฑ์และวิธีการได้มา และการพ้นจากตำแหน่งของประธานอนุกรรมการกรณีที่มิได้แต่งตั้งจากกรรมการใน ก.ค.ศ. และของอนุกรรมการตาม (๒) และ (๓) ให้เป็นไปตามที่ ก.ค.ศ. กำหนดข้อ ๗ ให้แก้ไขคำว่า “ขั้นเงินเดือน” ในกฎหมายว่าด้วยระเบียบข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา เป็นคำว่า “เงินเดือน” ทุกแห่ง
ที่มาของข้อมูลข่าว : เดลินิวส์