โพสต์โดย : Admin เมื่อ 21 เม.ย. 2560 13:10:32 น. เข้าชม 166484 ครั้ง
เมื่อวันที่ 21 เมษายน นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) เปิดเผยว่า ในการประชุมคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ.) เมื่อเร็ว ๆ นี้ ที่ประชุมมีมติเห็นชอบอำนาจหน้าที่ของศึกษาธิการจังหวัด(ศธจ.)และผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา(สพท.) ตามพ.ร.บ.ระเบียบข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. 2547 และที่แก้ไขเพิ่มเติมตามคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) ที่ 19/2560และได้มอบให้สำนักงานก.ค.ศ. จัดทำแนวปฏิบัติเพื่อให้การปฏิบัติงานเป็นมาตรฐานเดียวกัน ที่ประชุมยังเห็นชอบการกำหนดกรอบอัตรากำลังผู้ปฏิบัติงานในสำนักงานศธจ. ซึ่งแบ่งออกเป็น 4 ขนาด ได้แก่ ขนาดใหญ่พิเศษ 21 อำเภอขึ้นไป ขนาดใหญ่ 16-20 อำเภอ ขนาดกลาง 9-15 อำเภอ และขนาดเล็ก 8 อำเภอลงมา โดยในระยะแรกให้เกลี่ยอัตรากำลังจากสพท.
- ตำแหน่งศึกษานิเทศก์ จำนวน 958 ตำแหน่งและ
- ตำแหน่งบุคลากรทางการศึกษาอื่นตามมาตรา38 ค.(2) ไม่เกินร้อยละ 25 ของจำนวนตำแหน่งที่สพท.ทั่วประเทศมีหรือคิดเป็น จำนวน 3,575 คน
รัฐมนตรีว่าการศธ. กล่าวต่อว่า ที่ประชุมอนุมัติให้กำหนดตำแหน่งรองศธจ. เป็นตำแหน่งประเภทอำนวยการเฉพาะด้านการบริหารสำนักงานศธจ.ระดับต้น โดยเบื้องต้นกำหนดให้มีรองศธจ.ละ 1 อัตรา รวมถึงเห็นชอบร่าง หลักเกณฑ์และวิธีการสรรหาผู้ดำรงตำแหน่งรองศธจ. สังกัดสำนักงานปลัดศธ. โดยคุณสมบัติของผู้มีสิทธิสมัครเข้ารับการสรรหา ต้องเป็นผู้ดำรงตำแหน่งใดตำแหน่งหนึ่ง ดังนี้ รองผู้อำนวยการ(ผอ.)สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา หรือรองผอ.สพท. รองผอ.สำนักงาน กศน.จังหวัด/กรุงเทพมหานคร รองผอ.สำนักงานการศึกษาเอกชนจังหวัดทั้งนี้ผู้ได้รับการสรรหาจะได้รับการบรรจุและแต่งตั้งตามลำดับที่เป็นรายภาค และตามจำนวนตำแหน่งว่างที่ประกาศฯโดยไม่มีการขึ้นบัญชี
นายชัยพฤกษ์ เสรีรักษ์ ปลัดศธ. กล่าวว่า อำนาจหน้าที่ศธจ.และผอ.สพท.นั้น มี 3 ลักษณะ
1.เป็นงานที่จะต้องทำร่วมกัน ระหว่างผอ.สพท.และศธจ. เช่น การพิจารณาความดีความชอบในเรื่องการเลื่อนขั้นเงินเดือน การโยกย้าย การประเมินวิทยฐานะครู การเลื่อนเงินเดือน เป็นต้น
2.งานของ ผอ.สพท.โดยตรง เช่น เรื่องการทำแผนการส่งเสริมการพัฒนาครูและบุคลากรทางการศึกษา การทำมาตรฐานและเกณฑ์ประเมินผลงาน การจัดประวัติข้าราชการ อำนาจหน้าที่ในการสั่งประจำส่วนราชการหรือสำนักงานเขตฯเป็นการชั่วคราว การดำเนินการทางวินัยกรณีวินัยไม่ร้ายแรง รวมถึงการฝึกอบรม ดูงานวิจัยของผู้ใต้บังคับบัญชา และ
3.งานของศธจ. จะเป็นเลขานุการคณะอนุกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา(อ.ก.ค.ศ.) ที่เกี่ยวข้อง เป็นผู้สั่งบรรจุ แต่งตั้ง และให้ออกจากราชการ ของผอ.โรงเรียน, รองผอ.โรงเรียน, ข้าราชการครู และสั่งให้มีการรักษาการในกรณีที่มีตำแหน่งว่างการดำเนินการทางวินัยกรณีวินัยร้ายแรง เป็นต้น
“ที่ประชุมได้ทำความชัดเจน ในเรื่องการบริหารงานบุคคลตามคำสั่งหัวหน้าคสช. อำนาจหน้าที่การบริหารงานบุคคลเป็นอำนาจร่วมกันระหว่างองค์คณะบุคคลหรือคณะกรรมการศึกษาธิการจังหวัด(กศจ.)กับศธจ.และผอ.สพท.โดยจำแนกภารกิจของผอ.สพท. ภารกิจของศธจ.และภารกิจที่ผอ.สพท.และศธจ.จะต้องร่วมกันทำ ดังนั้นหลังจากนี้จะต้องมีการชี้แจงทำความเข้ากับผู้ที่เกี่ยวข้องถึงบทบาทหน้าที่ของแต่ละส่วนให้ชัดเจน”นายชัยพฤกษ์กล่าว และว่า ส่วนตำแหน่งรองศธจ.นั้นเบื้องต้นเริ่มจังหวัดละ 1 ตำแหน่งก่อน รวมทั้งหมด 77 ตำแหน่งแต่หากจังหวัดใดมีปริมาณงานและอำเภอที่อยู่ในการดูแลก็อาจจะมีเพิ่มอีก 2-3 ตำแหน่ง ขึ้นอยู่กับการพิจารณาของคณะกรรมการขับเคลื่อนการปฏิรูปการศึกษาของศธ.ในภูมิภาค(คปภ.)
ขอบคุณที่มาเนื้อหาข่าวจาก มติชนออนไลน์ วันที่: 21 เม.ย. 60 เวลา: 15:08 น.
เดลินิวส์ - ก.ค.ศ.อนุมัติตั้งรองศึกษาธิการจังหวัด 77 ตำแหน่ง
บอร์ดก.ค.ศ. เคาะอำนาจบริหารงานบุคคลในพื้นที่ของผอ.เขตพื้นที่การศึกษาและศึกษาธิการจังหวัด พร้อมกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการสรรหารองศธจ. เริ่มจังหวัดละ1 อัตราก่อน ถ้าพื้นที่ใดมีงานมากอาจให้เพิ่มรองศธจ.อีก 2-3 ตำแหน่ง
วันนี้(21 เม.ย.) นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รมว.ศึกษาธิการ เปิดเผยว่า ในการประชุมคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ.) เมื่อเร็ว ๆ นี้ ที่ประชุมได้มีมติเห็นชอบอำนาจหน้าที่ของศึกษาธิการจังหวัด(ศธจ.)และผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา(สพท.) ตามพ.ร.บ.ระเบียบข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. 2547 และที่แก้ไขเพิ่มเติมตามคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) ที่ 19/2560 โดยมอบให้สำนักงานก.ค.ศ. จัดทำแนวปฏิบัติเพื่อให้การปฏิบัติงานเป็นมาตรฐานเดียวกัน นอกจากนี้ยังเห็นชอบการกำหนดกรอบอัตรากำลังผู้ปฏิบัติงานในสำนักงานศธจ. ซึ่งแบ่งออกเป็น 4 ขนาด ได้แก่ ขนาดใหญ่พิเศษ 21 อำเภอขึ้นไป ขนาดใหญ่ 16-20 อำเภอ ขนาดกลาง 9-15 อำเภอ และขนาดเล็ก 8 อำเภอลงมา โดยในระยะแรกให้เกลี่ยอัตรากำลังจากสพท. ตำแหน่งศึกษานิเทศก์ มาจำนวน 958 ตำแหน่งและตำแหน่งบุคลากรทางการศึกษาอื่นตามมาตรา38 ค.(2) ไม่เกินร้อยละ 25 ของจำนวนตำแหน่งที่สพท.ทั่วประเทศมีอยู่หรือคิดเป็นจำนวน 3,575 คน โดยการเกลี่ยอัตรากำลังดังกล่าวให้เป็นไปด้วยความสมัครใจ ไม่มีการบังคับ ไม่กีดกัน และไม่ทำให้ราชการเสียหายทั้งต้นทางและปลายทาง
รมว.ศึกษาธิการ กล่าวต่อไปว่า ที่ประชุมยังอนุมัติให้กำหนดตำแหน่งรองศธจ. เป็นตำแหน่งประเภทอำนวยการเฉพาะด้านการบริหารสำนักงานศธจ.ระดับต้น โดยเบื้องต้นกำหนดให้มีรองศธจ.จังหวัดละ 1 อัตรา รวมถึงเห็นชอบร่างหลักเกณฑ์และวิธีการสรรหาผู้ดำรงตำแหน่งรองศธจ. สังกัดสำนักงานปลัดศธ. โดยคุณสมบัติของผู้มีสิทธิสมัครเข้ารับการสรรหา ต้องเป็นผู้ดำรงตำแหน่งใดตำแหน่งหนึ่ง ดังนี้ รองผู้อำนวยการ(ผอ.)สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา หรือรองผอ.สพท. รองผอ.สำนักงาน กศน.จังหวัด/กรุงเทพมหานคร รองผอ.สำนักงานการศึกษาเอกชนจังหวัด สำหรับวิธีการสรรหา ใช้การประเมินความรู้ความสามารถในตำแหน่งพิจารณาจากประวัติ ประสบการณ์ทางการบริหารและผลงานที่ประสบผลสำเร็จ และประเมินความเหมาะสมกับการปฏิบัติหน้าที่ ประเมินตามรูปแบบและวิธีการที่สำนักงานปลัดศธ.กำหนด ประเมินความเหมาะสมกับตำแหน่ง พิจารณาจากวิสัยทัศน์และแนวทางการพัฒนาสำนักงานศธจ.และสัมภาษณ์ ทั้งนี้ผู้ได้รับการสรรหาจะได้รับการบรรจุและแต่งตั้งตามลำดับที่เป็นรายภาค และตามจำนวนตำแหน่งว่างที่ประกาศโดยไม่มีการขึ้นบัญชี
ด้านดร.ชัยพฤกษ์ เสรีรักษ์ ปลัดศธ. กล่าวว่า อำนาจหน้าที่ของศธจ.และผอ.สพท.จะมี 3 ลักษณะ ได้แก่
1.เป็นงานที่จะต้องทำร่วมกัน ระหว่างผอ.สพท.และศธจ. เช่น การพิจารณาความดีความชอบในเรื่องการเลื่อนขั้นเงินเดือน การโยกย้าย การประเมินวิทยฐานะครู การเลื่อนเงินเดือน เป็นต้น
2.งานของ ผอ.สพท.โดยตรง เช่น เรื่องการทำแผนการส่งเสริมการพัฒนาครูและบุคลากรทางการศึกษา การทำมาตรฐานและเกณฑ์ประเมินผลงาน การจัดประวัติข้าราชการ อำนาจหน้าที่ในการสั่งประจำส่วนราชการหรือสำนักงานเขตฯเป็นการชั่วคราว การดำเนินการทางวินัยกรณีวินัยไม่ร้ายแรง รวมถึงการฝึกอบรม ดูงานวิจัยของผู้ใต้บังคับบัญชา และ
3.งานของ ศธจ. จะเป็นเลขานุการคณะอนุกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา(อ.ก.ค.ศ.) ที่เกี่ยวข้อง เป็นผู้สั่งบรรจุ แต่งตั้ง และให้ออกจากราชการ ของผอ.โรงเรียน, รองผอ.โรงเรียน, ข้าราชการครู และสั่งให้มีการรักษาการในกรณีที่มีตำแหน่งว่าง การดำเนินการทางวินัยกรณีวินัยร้ายแรง เป็นต้น
“ที่ประชุมได้ทำความชัดเจน ในเรื่องการบริหารงานบุคคลตามคำสั่งหัวหน้าคสช. อำนาจหน้าที่การบริหารงานบุคคลเป็นอำนาจร่วมกันระหว่างองค์คณะบุคคลหรือคณะกรรมการศึกษาธิการจังหวัด(กศจ.)กับศธจ.และผอ.สพท.โดยจำแนกภารกิจของผอ.สพท. ภารกิจของศธจ.และภารกิจที่ผอ.สพท.และศธจ.จะต้องร่วมกันทำ ดังนั้นหลังจากนี้จะต้องมีการชี้แจงทำความเข้าใจกับผู้ที่เกี่ยวข้องถึงบทบาทหน้าที่ของแต่ละส่วนให้ชัดเจน”ดร.ชัยพฤกษ์กล่าว และว่า ส่วนตำแหน่งรองศธจ.นั้นเบื้องต้นเริ่มจังหวัดละ 1 ตำแหน่งก่อน รวมทั้งหมด 77 ตำแหน่ง แต่หากจังหวัดใดมีปริมาณงานมากก็อาจจะมีเพิ่มอีก 2-3 ตำแหน่ง ขึ้นอยู่กับการพิจารณาของคณะกรรมการขับเคลื่อนการปฏิรูปการศึกษาของศธ.ในภูมิภาค(คปภ.)
ขอบคุณที่มาเนื้อหาข่าวจาก เดลินิวส์ วันศุกร์ที่ 21 เมษายน 2560 เวลา 15.35 น.