โพสต์โดย : Admin เมื่อ 3 ต.ค. 2560 03:01:03 น. เข้าชม 166633 ครั้ง
หลายคนคงเคยได้ยินเกี่ยวกับเรื่องของกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการหรือที่เรียกกันแบบย่อสั้น ๆ ว่า กบข. ที่เป็นสวัสดิการของข้าราชการที่จะได้รับเงินออมหลังวัยเกษียณ ซึ่งถือเป็นข้อมูลแบบผิวเผินเท่านั้น สำหรับผู้ที่เป็นข้าราชการจำเป็นจะต้องเรียนรู้ข้อมูลของกองทุนนี้กันแบบละเอียดเจาะลึกเพื่อจะได้ทราบถึงข้อดีข้อเสียเกี่ยวกับกบข. ส่วนคนที่ไม่ได้เป็นข้าราชการ การรับทราบข้อมูลในเรื่องของ กบข.นี้ไว้ด้วยก็ถือว่าไม่เสียหายอะไรค่ะ ถือว่าได้รับรู้เป็นความรู้รอบตัวเอาไว้เผื่อแนะนำเพื่อนฝูงหรือญาติที่เพิ่งเข้ารับราชการก็ถือเป็นเรื่องดีๆค่ะ วันนี้เราจะมาเรียนรู้เรื่องเกี่ยวกับกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการตัวนี้อย่างเจาะลึกอีกสเต็ปค่ะ
ก่อนอื่นต้องขอย้อนเวลากลับไปเมื่อปี พ.ศ. 2537 กันก่อนนะคะ ก่อนหน้านั้นระบบบำเหน็จบำนาญที่เป็นสวัสดิการของข้าราชการยังไม่ได้มีลักษณะเป็นกองทุนเหมือนเช่นในปัจจุบัน แต่เป็นสวัสดิการที่เป็นงบประมาณโดยตรงของรัฐบาล เรียกได้ว่าระบบบำเหน็จบำนาญ ระบบบำเหน็จบำนาญแบบเดิมนี้ได้มีมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 ค่ะ แต่ต่อมาในยุคหลัง ๆ สวัสดิการบำเหน็จบำนาญที่ต้องจ่ายให้กับข้าราชการในแต่ละปีนั้นเป็นจำนวนเงินที่สูงมากขึ้นเรื่อย ๆ ทุกปี จนถือว่าเป็นภาระก้อนใหญ่กับงบประมาณการคลังของประเทศ ซึ่งที่มาของเงินที่จะนำมาจ่ายบำเหน็จบำนาญต่อข้าราชการถือเป็นภาระของประชาชนที่เสียภาษีให้กับรัฐบาลด้วยนั่นเอง นอกจากนั้นระบบบำเหน็จบำนาญราชการแบบเก่ายังทำให้การปรับโครงสร้างเงินเดือนของข้าราชการเป็นไปด้วยความลำบากอีกด้วย เพราะจะปรับมากเหมือนเอกชนก็ไม่ได้ เพราะมันจะยิ่งเป็นภาระงบประมาณรัฐบาลเรื่องบำเหน็จบำนาญในระยะยาว เงินเดือนของข้าราชการที่ทำงานจึงจะกำหนดให้สูงมากไม่ได้
จากปัญหาและอุปสรรคของระบบบำเหน็จบำนาญข้าราชการแบบเก่าตามที่ว่ามา ทำให้รัฐบาลพยายามหาวิธีในการปรับปรุงระบบบำเหน็จบำนาญข้าราชการให้มีความทันสมัยและเหมาะกับสภาพเศรษฐกิจและสังคมในปัจจุบันมากขึ้น จึงได้มีมติในวันที่ 16 สิงหาคม 2537 ในการจัดตั้งเป็นกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ หรือ กบข.ขึ้นตามที่กระทรวงการคลังเสนอ โดยข้าราชการจะต้องมีการสมทบเงินทุกเดือนในกองทุนนี้ด้วย กองทุน กบข. จึงถือเป็นเครื่องมือในการระดมเงินออมของข้าราชการในประเทศ ช่วยให้ข้าราชการมีเงินออมไว้ใช้ในยามเกษียณหรือเมื่อลาออกจากราชการ สำหรับรัฐบาลเองก็มีมีโอกาสได้ใช้เงินจากกองทุนนี้ไปใช้ในการบริหารประเทศด้วย โดยแรกที่มีการจัดตั้งกองทุนนี้ขึ้นได้มีข้อกำหนดให้ข้าราชการใหม่ที่บรรจุทำงานตั้งแต่วันที่ 27 มีนาคม 2540 ต้องเข้าเป็นสมาชิกของกองทุน กบข. ทุกคน ส่วนผู้ที่เข้ารับราชการก่อนวันที่ 27 มีนาคม 2540 ก็ให้เป็นการสมัครใจว่าจะเข้าเป็นสมาชิกของ กบข. หรือไม่ก็ได้ หากข้าราชการคนใดไม่ได้สมัครเข้าเป็นสมาชิกก็จะได้รับเงินบำเหน็จบำนาญตามระบบเดิม
ทีนี้เรามาดูว่าระบบบำเหน็จบำนาญข้าราชการแบบเดิมกับกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชหรือ กบข. ที่จัดตั้งขึ้นใหม่นี้ว่ามีข้อแตกต่างกันอย่างไรบ้าง ระบบบำเหน็จบำนาญข้าราชการแบบเดิมจะครอบคลุมข้าราชการทุกประเภทรวมข้าราชการการเมืองด้วย ในขณะที่ กบข.จะไม่รวมข้าราชการการเมือง ส่วนเรื่องของบำเหน็จหรือบำนาญที่จะได้รับ จะขอแบ่งเป็นกรณีตามนี้ค่ะ
เกษียณอายุและมีอายุราชการตั้งแต่ 25 ปีขึ้นไป
ลาออกจากราชการหรือถูกปลดออกจากราชการ (อายุไม่ถึง 50 ปี)
ออกจากราชการเพราะทุพพลภาพ ทดแทน หรือสูงอายุ หรือถูกปลดจากราชการ (อายุ 50 ปีขึ้นไป)
ถูกไล่ออกจากราชการหรือเสียชีวิตเพราะประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง
เสียชีวิตในระหว่างรับราชการ
เสียชีวิตระหว่างรับเงินบำนาญ
จะเห็นว่าเงินส่วนที่จะช่วยลดภาระเงินงบประมาณของรัฐบาลก็จะเป็นส่วนของบำนาญหลังเกษียณอายุราชการเกินกว่า 25 ปีเท่านั้น ที่ระบบเดิมให้ใช้ฐานเงินเดือนเดือนสุดท้ายในการคำนวณ ในขณะที่กบข. จะให้ใช้ฐานเฉลี่ยที่ 60 เดือนสุดท้ายในการคำนวณ และมีกำหนดขั้นต่ำไว้ว่าเงินบำนาญจะต้องไม่เกินกว่าร้อยละ 70 ของเงินเดือนเฉลี่ย 60 เดือนนั้นด้วย
นอกจากเรื่องฐานเงินเดือนของเงินบำนาญที่ว่า หากเปรียบเทียบกันกรณีอื่น ๆ จะเห็นว่าการเป็นสมาชิก กบข. จะให้ประโยชน์ที่มากกว่าในเรื่องของเงินบำเหน็จบำนาญราชการที่เพิ่มเติมจากเงินสะสม เงินสมทบและผลประโยชน์ที่ได้จากการที่กองทุนนำเงินดังกล่าวไปลงทุนเพื่อให้ได้ผลตอบแทนด้วย สมาชิก กบข. ยังได้รับสิทธิประโยชน์ในเรื่องอื่น ๆ เช่น การลดหย่อนภาษีจากเงินสะสมเข้ากองทุนในแต่ละปี รวมถึงสิทธิในการขอกู้เงินจากกองทุนได้ด้วย โดยต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดไว้
อ้างอิง https://www.gpf.or.th/thai2013/about/pension-thai-compare.asp
ที่มา: Moneyhub