โพสต์โดย : Admin เมื่อ 28 ม.ค. 2560 01:24:31 น. เข้าชม 166433 ครั้ง
เมื่อลูกชาวนาสงสัย ทำไมคนเรียนจบป.ตรี กลับไปทำไร่ ทำนา ทำสวน แล้วเรียนปริญญาไปทำไมหรอคะ !! คำถามนี้ทำเอากระทู้ร้อนเป็นไฟ
มาลองฟังความเห็นกันดีกว่า เราเรียนปริญญาตรีไปทำไม !
.........................
จุดมุ่งหมายของปริญญามันไม่ใช่แค่กระดาษที่เอามาแปะผนังค่ะ
มันคือการเรียนรู้วิธีการคิด การสร้างมุมมอง ต่อยอด ทำยังไงไม่ให้ถูกเอาเปรียบ
คนคิดวิเคราะห์เป็น มีแนวโน้มจะเห็นโอกาสมากกว่า
เรียนแล้วเอาความรู้ไปพัฒนา เช่น ทำเกษตรแบบผสมผสานหรือแปรรูปขายผลผลิตเพิ่มมูลค่า
........................
ทำนาทำไร่ทำสวนมันไม่ต้องใช้ความรู้เหรอ เพราะคิดแบบคุณไงถึงไม่พัฒนา คิดง่ายๆจบอะไรก็ทำงานที่วางไว้ให้ ไม่รู้จักปรับประยุกต์ใช้ ถ้ารู้จักคิดสักนิด จะรู้ว่าทำไร่ทำสวน ไม่ใช่ถือจอบถือเสียมไปขุดดิน ไม่ใช่แค่ใช้แรงงาน ถ้าได้ลองเรียนรู้จริงๆ มันมีข้อดีเยอะแยะ งานอิสระ เป็นเจ้านายตัวเอง รายได้มากกว่าทำงานบริษัททั้งปี
.....................
ไปเรียนมหาวิทยาลัยมันได้มากกว่าใบปริญญานะ การศึกษา ได้เปิดมุมมอง เพื่อน สังคม การใช้ชีวิตร่วมกับคนอื่น มันได้ความรู้ที่หาไม่ได้ในไร่นาค่ะ
......................
เราเรียนหนังสือเพื่อพัฒนาระบบสมองและกระบวนความคิดต่าง ๆ เรียนเพื่อได้เรียนรู้เรื่องราวต่าง ๆ ความเป็นไปเพื่อให้เกิดทักษะ
เราไม่จำเป็นต้องเรียนเพื่อเอาไปทำงานในสิ่งที่เรียนมา การเรียนจบแล้วมาทำสวนไม่ใช่เรื่องแปลก กลับเป็นเรื่องดีมากด้วยซ้ำ
คนที่เรียนจบมีความรู้ มาทำสวน ๆ ต่าง ๆที่เขาทำประสบความสำเร็จเป็นส่วนใหญ่ เพราะก่อนลงมือทำเขามีการวางแผน
ว่าจะทำอะไร ปลูกพืชชนิดไหน อะไรคือความต้องการของพืชนั้น ๆ ความต้องการของตลาดมีมากน้อยแน่ไหน
อย่างเราเองผ่านเรื่องแบบนี้มาโดยตรง เป็นลูกชาวสวนมาตั้งแต่เกิด แต่ไม่เคยทำสวนเลย แต่เมื่อถึงเวลาที่ต้องลงมือทำเอง
ทั้งหมด เพราะพ่อแม่ไม่อยู่แล้ว ด้วยสายเลือดชาวสวนในตัว ไม่อยากขายสวนที่พ่อแม่สร้างไว้ตกทอดมา เราเข้ามาจัดการสวน
ใหม่ทั้งหมดโดยวางแผนทำใหม่ จะปลูกอะไร ทิศทางตลาดต้องการอะไร สวนเราจากสวนยางพาราทั้งหมด ตอนนี้เราแบ่ง
เป็นสามโซน คือ สวนยางพารา สวนปาล์ม และสวนผลไม้ผสม เพื่อป้องกันความเสี่ยง และเพื่อให้มีรายได้เข้ามาตลอด
ทั้งสามโซน ถ้าเราไม่เรียน ไม่มีความรู้ ไม่ได้ศึกษาข้อมูลก็คงปลูกยางพาราตามเดิม ราคาตกก็อด แต่นี่เราได้แบ่งโซน
เพื่อปเองกันความเสี่ยง และ มีรายได้ ตลอด มีผลไม้ไว้กินไว้แจกไว้ขาย
........................
ถ้า จขกท คิดได้แค่นี้ก็ไม่ต้องเรียนจ้า เอาจริงๆนะ
การเทียบกับสมัยก่อนเป็นเรื่องที่ตลกมากๆ เพราะโลกมันหมุนไปทุกวัน การทำการเกษตสมัยก่อนอาศัยความรู้ค่ะ ทั้งลองผิดลองถูก แต่ไม่ได้มีการนำมาวิเคราะห์ สร้างแบบแผน แล้วนำมาประยุกต์ใช้ คนเรียนวิศวะไม่ได้สอนให้ไปผลิตเครื่องจักรอย่างเดียวค่ะ อันนั้นผลพลอยได้ วิศวะสอนให้คิดเป็นระบบ
ที่คุณว่าคนสมัยก่อนสร้างที่ดินทำกินได้มากมาย คุณก็คิดบ้างว่า จำนวนประชากรคนสมัยก่อนกับสมัยนี้มันต่างกันขนาดไหน อัตราการบริโภคต่างกันเท่าไหร่ การใช้ประสบการณ์ ความรู้จากคนสมัยก่อน ผนวกกับการบริหารจัดการ และเทคโนโลยีที่ก้าวหน้ามากขึ้นจากคนรุ่นใหม่ก็เพื่อเพิ่มผลผลิตให้มากขึ้นในขณะที่ทรัพยากรมีเท่าเดิม เช่นด้วยวิธีเกษตรสมัยก่อน บนที่ดิน 1 ไร่ จำนวน น้ำ ดิน ปุ๋ย แรงงาน เท่าเดิม อาจจะได้ ผลผลิตจำนวน x แต่ด้วยระบบการจัดการที่คิดอย่างมีระบบมากขึ้น อาจจะทำให้ผลผลิตเพิ่มเป็น 1.5x ก็ได้ คนสมัยก่อนมีความรู้และความเชี่ยวชาญซึ่งในยุคสมัยของเค้ามันก็เพียงพอต่อการดำรงชีพ
ทุกสาขาอาชีพบนโลกใบนี้ต้องรู้จักพัฒนาและปรับตัวเพื่อให้อยู่รอดในความเปลี่ยนแปลงของยุคสมัย เราหยุดเดิน ไม่ได้แปลว่าโลกหยุดหมุน
......................
เคยเห็นลูกชาวสวน. จบวิศวะ. มาเขียนโปรแกรมให้น้ำกับพืชในสวน
......................
เจ้าของกระทู้เลยกลับมาแสดงความคิดเห็นเพิ่มเติม
จขกท เองก็ลูกชาวสวนค่ะ.
คือพูดให้สวยหรูมันก็พูดได้หมดแหละค่ะ. ว่านำความรู้มาพัฒนา มาดัดแปลง หรือเรียนเพื่อสังคมเพื่อนบลาๆ. น้อยคนที่จะเป็นแบบนี้.
จะยกตัวอย่าง ลูกของป้าจบบัญชีมา ทำงานธนาคารได้2ปีก็ลาออก ออกมากรีดยาง. เราไม่เคยเห็นเขานำความรู้ด้านบัญชีมาใช้กับสวนยางเลยค่ะ
ใส่ปุ๋ยเขาก็มีสูตรปุ๋ยมาให้แล้ว หญ้าขึ้นก็ใช้เครื่องตัดหญ้าตัด ไถสวนก็ขับรถไถ
อาแท้ๆเราจบครูก็ออกมาทำสวนยาง โชคดีที่ย่าสร้างมาให้เยอะ. เห็นแค่กรีดกับเก็บอย่างเดียว
พี่ของเพื่อนจบวิศวะม.ดัง ก็ออกมาทำสวนปาล์ม ทำแค่ปลูกปาล์มใหม่ที่พ่อซื้อที่ดินมา ขับรถไถสวน ไปเก็บปาล์ม. เอาไปขาย ตัดหญ้า. ก็เห็นทำวนอยู่แค่นี้
พูดตรงๆไม่ต้องเรียนก็ทำได้ใช่มั้ย
..........................
เพราะค่านิยมพ่อแม่เเละเด็กในประเทศนี้คือ จบปริญญาไว้ก่อน
วุฒิที่จบมาจะได้ใช้หรือไม่ได้ใช้นั่นคืออีกเรื่อง
ไม่ต้องเอาเเค่เรื่องจบปริญญาก็ได้ ทุกวันนี้คิดว่าคนที่ทำงานตรงสายที่จบมามีกี่ ? กัน
การจบปริญญา (ยิ่งในเมืองไทย) ไม่ได้เป็นการบ่งบอกเลยว่า
คุณเก่งกว่า มีทักษะที่ดีกว่า ทำงายได้ดีกว่า ครีเอทกว่า หรือมีกึ๋นกว่า
ทุกสิ่งล้วนเป็นการค้า ลองดูเด็กจบมาใหม่ ก็ต้องใช้เวลาสอนงานกันหลายเดือน
ไม่มีแบบที่จบมาเเล้วทำได้เลยสักเท่าไหร่หรอก
ถ้าไม่ใช่อาชีพเฉพาะทางเช่น หมอ วิศวะ นักบิน
.........................
จขกท พูดเหมือนตาผมเลย พอบอกว่าจะมาค้าขาย ตาพูดว่าแล้วเรียนโท มาทำไม ตอนฟังนี้จิ๊ดเลย แต่ก็เข้าใจนะ คือเสียทั้งเงิน เสียทั้งเวลา สู้เอาเงินค่าเรียนมาเป็นทุนค้าขาย ดีกว่าไหม ป่านนี้อาจจะรุ่งไปแล้วก็ได้ อันนี้คือความคิดของคนรุ่นก่อน
แต่ผมกลับมองว่า การเรียนมันทำให้เราได้รู้อะไรหลายๆอย่าง ได้ทันคน ได้ทันโลกสมัยเรียนจบตรี ผมว่าตัวเองยังมีความเป็นเด็กอยู่เลย เขาว่าอะไรดีก็ดีดูง่ายๆ ไม่งันพวกน้องๆจบใหม่ จะโดนล้างสมองให้ทำขายตรง ทำประกัน หรือแม้แต่หลอกลงทุนในธุรกิจแชร์ลูกโซ่ กันเหรอ อย่างชาวนา ตาสีตาสา ที่โดนหลอกลงทุนแชร์ลูกโซ่ กันก็เพราะไม่ทันคน ไม่รู้นี้แหละ
ฉนั้นผมว่าเรียนดีกว่าไม่เรียน รู้ดีกว่าไม่รู้
................................
เราเป็นคนนึงที่เรียนจบแล้ว กลับมาทำสวน ทำการเกษตร
กระทู้ทำงานที่เขียนเขียนไว้ http://m.pantip.com/topic/34169913?
ไปเรียนได้อะไร
-ได้ความรู้ ซึ่งสามารถเอามาปรับปรุงใช้ได้
-พัฒนากระบวนการคิด
-กลุ่มเพื่อน สังคม
-การใช้ชีวิตคนเดียวในเมืองหลวง
-ช่วงชีวิตหนึ่งของการเรียนมหาลัย เป็นช่วงเวลาที่ดี มีความสุข
-ปรับเปลี่ยนตัวเอง ตอน ม ปลาย เป็นเด็กเกเร จบม ปลาย 1.9
ไปเรียนหมาลัย ตั้งใจเรียน จบ 3.4
ปล. คนทำสวนทุกคนคิดจะส่งลูกเรียนมหาลัยทุกคน
ถ้าเรามีลูกเราก็ส่งเรียน มหาลัย
จขกท ควรรู้ไว้อีกอย่าง คนทำสวนไม่ได้ทำแค่สวน
....................................
ตอบในฐานะที่จบวิศวฯและมีกลับมาทำสวนช่วงเสาร์-อาทิตย์นะครับ ผมจบวิศวเคมี ความรู้ที่เอามาใช้ได้คือการออกแบบกระบวนการควบคุมสภาวะบรรยากาศในโรงเรือน (ความชื้น/อุณหภูมิ และอื่นๆอีกมากมาย) การออกแบบโรงเรือนและแปลงเพาะปลูก โดยใช้โปรแกรมเช่น AutoCAD/SketchUP มีการพิจารณาตัวแปรต่างๆที่เรียนมาประกอบ เช่น วางระบบการส่งน้ำ (คำนวน Head loss/Pressure Drop ของปั๊ม) การคำนวนการโอนถ่ายความร้อน (Heat transfer) และอื่นๆอีกมากมาย
ทั้งหมดที่พูดมานั้น อาจจะบอกว่า จ้างช่างมาก็ทำได้ อย่างเรื่องการวางระบบอะไรพวกนี้ หรือถ้าเป็นชาวสวนธรรมดาๆก็วางระบบปั๊มได้ ทำแปลงเองได้ มันไม่ได้ยากอะไร แต่ในมุมมองของคนที่มีความรู้(ไม่ว่าจะสาขาไหนก็แล้วแต่ สามารถนำมาประยุกต์ได้ทั้งหมด อาจจะแค่คนละส่วนกัน) อย่างเช่นผมเป็นวิศวฯ ทุกอย่างที่ทำจะ Based on ความคุ้มทุน/ความคุ้มค่าเชิงพลังงาน/การจัดการระบบต่างๆ/จำนวนคนงานที่ต้องใช้ เพราะทั้งหมดทั้งมวลมันคือ "เงิน" ที่เราสามารถประหยัดได้ตามหลักเศรษฐศาสตร์วิศวกรรม ดังนั้นคำว่า ใช้ได้(Work) กับ ใช้อย่างคุ้มค่า(Optimization) จึงไม่เหมือนกัน
ในวันธรรมดา ผมทำงานเอกชนในส่วนที่เกี่ยวของกับงานขาย ประสบการณ์งานขายเองก็สามารถนำมาใช้ได้ การเจรจา การดูเรื่องของตลาด สามารถนำมาใช้ได้ทั้งหมด เมื่อก่อน พ่อแม่ปู่ย่าตายายอาจจะต้องขายผ่านคนกลาง แต่เราหาตลาดเองได้ หรือหากหาความรู้เพิ่ม มีความรู้เรื่องมาตรฐาน ทำผลิตภัณฑ์ด้วยการควบคุมสภาวะ(จากความรู้ที่เรียนมา) ก็สามารถทำส่งออกได้ มูลค่าก็จะเพิ่มขึ้นอีกครับ
.................................
น้องครับ คืออย่างนี้น่ะครับพี่คนหนึ่งล่ะที่จบวิศวะ
และตอนนี้พี่กำลังจะหันหลังให้วิชาชีพที่เรียนมามุ่งหน้าสู่เกษตรกรเต็มตัว ถามว่าทำไม ปริญญาตรีหรือ ป.4 ไม่สามารถวัดค่าของความสำเร็จในการใช้ชีวิตได้เลย เมื่อคุณไม่มีความสุขในงานที่ตัวเองทำไม่ว่าด้วยเหตุผลไดๆตาม คุณจะอยากทำงานตัวนั้นอยู่ไหม งานที่ต้องปรนนิบัติใครๆก็ไม่รู้เพียงคำว่าเขามีเงินจ้างเรา แล้วใช้คำว่าเขามีบุญคุณกับเรา แต่สำหรับพ่อแม่ ที่เลี้ยงเรามานั่นล่ะคืออะไร ลองคิดน่ะครับความสุขไม่ใช่หาได้จากเงินเพียงอย่างเดียว ถ้าเราเลือกที่จะทำอาชีพเกษตรเราก็ได้อยู่กับครอบครัวที่เรารักมีความสุขกับครอบครัว ได้อยูกับพ่อแม่ ตอบแทนพระคุณท่านนี่แหล่ะครับคือความสุขที่ยั่งยืน
...................................
เรากำลังถูกหลายคนถามคำถามพวกนี้อยู่เหมือนกัน คนที่ถามส่วนมากจะเป็นคนแก่ หัวโบราณหน่อย ๆ ที่คิดแค่ว่า จบมาต้องไปทำงานตามที่เรียนมาเท่านั้น จบมาต้องไปทำงานกินเงินเดือนเท่านั้น ไม่งั้นจะไปเรียนให้เปลืองตังทำไม ซึ่งเราอธิบายกับคนจำพวกนี้จะไม่ค่อยได้ เพราะคำว่าหัวโบราณจะคอยปิดกั้นความคิดเห็นคนอื่น ๆ ไม่เปิดรับมุมมองใหม่ ๆ ถึงได้ชื่อว่าคนหัวโบราณ
เมื่อก่อนจบมอ 6 มา ก็มีความฝันหลายอย่าง เรียนจบจะไปเป็นเป็นอั้นนั้น อันนี้ แต่พอเริ่มได้เรียนความคิดเริ่มเปลี่ยน เจอสังคมใหม่ ๆ เจอคนใหม่ ๆ ประสบการณ์ในการใช้ชีวิตเริ่มมีมากขึ้น เริ่มมองคนออก เจอคนเห็นแก่ตัว เจอคนเอาแต่ได้ เจอคนเอาแต่ให้ เจอคนหลายประเภท พอจบออกมาถึงคิดได้ว่า คนเราจบปริญญาไม่จำเป็นต้องไปทำงานกินเงินเดือนอย่างเดียว มันไม่ได้แปลกหรือน่าสงสัยอะไรที่ว่า ทำไมจบแล้วถึงมาทำไร่ทำสวน หลายคนที่ทำงานไม่ได้ตรงกับที่เรียนมา มันเหมือนกับจบวิศวะมาแต่มาทำสวน
สำหรับเรา ถ้าพูดถึงเรื่องหลัก ๆ คือ ทำสวนได้เงินเยอะกว่าทำงานเงินเดือน จบ ป ตรีมา ได้แบบทั่วไปจะประมาณ 12000-15000 บาท หักค่อหอไปก็ประมาณ 3-4 พันบาท ค่ากินประมาณ 4 พันบาท ค่าสารพัดที่ต้องจ่าย รายจ่ายที่ไม่ได้รับเชิญ ส่งให้พ่อแม่อีก สรุปแล้วจะเหลือเงินเก็บในแต่ละเดือนเพียงแค่ 1-2 พัน บางคนก็ไม่มีเหลือเก็บ ปีนึงจะเก็บเงินได้เพียง 1-2 หมื่นบาทเท่านั้น
แต่สำหรับเรานะคะ ถ้าไม่ทำงานเงินเดือน แต่กลับมาทำสวน พ่อมีสวนลำไยให้ 4 สวน สวนละประมาณ 100 ต้น ทำดีดี ลำไยออกดอกติดผล น้ำหนักลำไย 100 ต้น จะมีน้ำหนักประมาณ 10000-15000 กิโลกรัม ส่วนมากจะขายกิโลละ 30-40 บาท 1 สวนจะได้เงินประมาณ 4-5 แสนบาท ปีหนึ่งก็ได้เป็นล้าน ทั้งนี้มันก็ขึ้นอยู่กับราคา ผลผลิต และเศรษฐกิจเหมือนกัน บางปีก็ได้ บางปีก็แห้ว แต่รวม ๆ แล้ว จะมีเงินเก็บมากกว่าทำงานเงินเดือน ไม่ใช่ว่าทำงานเงินเดือนมันไม่ดีนะ เพราะถ้าที่บ้านไม่มีที่ เราก็คงทำงานเงินเดือนเหมือนกัน
เหตุผลอีกอย่างคือ ได้อยู่กับบ้าน ได้อยู่กับพ่อแม่ พ่อแม่เราแก่แล้ว ทำสวนไม่ค่อยไหว เราเลยต้องมาช่วย ซึ่งมันตรงกับความต้องการเราอยู่แล้ว อยู่บ้าน อยากไปทำงานก็ไป ขี้เกียจก็อยู่บ้าน อยากเที่ยวก็ไปเที่ยวได้เลย ไม่ต้องลา ไม่ต้องคอยปวดหัวกับเพื่อนร่วมงานหรือหัวหน้า อิสระดี
ที่พิมพ์ไปนี่ มันคงตอบคำถามหลายอย่างของ จขกท ได้บ้างนะคะ
..........................
เจ้าของกระทู้กลับมาตอบกระทู้ พร้อมยืนยันความคิดเดิม
เรายังยืนยันคำเดิมนะคะว่าไม่ได้ดูถูกว่าทำไร่ทำสวน ไม่ดี
เราเข้าใจในส่วนของคนที่จบมาทำงานบริษัทแล้วไม่ชอบ ก็กลับไปทำสวน ข้อนี้เราเข้าใจค่ะ
ที่เราถามคือ คนที่จบป.ตรีปุ้บ! ก็กลับไปทำสวนเลย ทั้งๆที่เขาเรียน วิศวะ บัญชี ภาษา นิติ มาซึ่งเราก็มองว่าเงินที่จ่ายไปตอนศึกษาอยู่มันเยอะอยู่ บางคณะสามารถซื้อที่ดินได้เลย เรามองว่าเรียนพวกนี้ก็ไม่ได้ช่วยอะไรในการทำสวนเลย อย่างการบริหารเงินที่พูดๆมา เราว่าคนที่เรียนบัญชี. วิศวะ. เขาก็ต้องเก่งคณิตเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว. ซึ่งความรู้แค่ม6 ก็เพียงพอ ที่เหลืออาศัยแค่ประสบการณ์
ส่วนด้านสังคม บางคนเราเห็นพอกลับมาทำสวน. เขาก็ชอบด้านนี้เลยไปปลูกบ้านในสวนก็มี อาทิตย์ละ1ครั้งถึงจะออกมาข้างนอกพบปะผู้คน หรือไม่ก็ไปเช้า. ค่ำมืดถึงจะกลับ
แต่ถ้าเรียนจบด้านเกษตรมา. เราจะไม่เถียงเลย เพราะมันได้ใช้ความรู้ด้านนี้จริงๆ. ทั้งพืช. สัตว์. การบริหาร
...............................
เอาตรงไปตรงมาเลย จากเท่าที่อ่าน เจ้าของกระทู้ตั้งคำถามแล้วตอบคำถาม
จขกท แค่ไม่อยากกลับไปทำนา สวน กรีดยาง อะไรก็แล้วแต่ที่บ้าน เพราะยังยึดติดแสงสี ติดชีวิตโก้หรูเมืองกรุง และไม่มีรู้ว่าจะเอาความรู้ที่ตนมีไปต่อยอดอย่างไร ต้องมีนายคอยแนะคอยนำ ไม่กล้าคิดอะไรเองสักเท่าไหร่
ที่ตั้งกระทู้ก็เพื่อหาข้อแก้ต่างให้ตัวเองที่ไม่อยากจะกลับไปใช้ชีวิตที่บ้านนอก
ส่วนตัวผมคิดเล่นๆ ไม่รู้จริงป่าวนะ แฟน จขกท คงไม่อยากให้ไปแล้วตัวเค้าก็ไม่ยอมไปด้วย เลยเกิดข้องอ้างดังกล่าว
ผมไม่มาให้ความคิดนะ เพิ่งเท่าที่อ่าน จขกท ไม่ได้ต้องการความเห็น แค่ต้องการข้อแก้ต่างให้ตัวเอง
...................................
จบเกษตร ม.แถวบางเขนค่ะ ตั้งใจสอบเข้าตรงค่ะ จบแล้ว
คือส่วนตัวมีเป้าหมายที่จะพัฒนาที่บ้าน เพราะที่บ้านเป็นเกษตรกร ถามว่าเรียนแล้วได้อะไรเยอะไหม
เยอะมากค่ะ คณะ/ภาคสอนดี เปรียบเทียบง่ายๆการปลูกผัก 1 ต้น ปลูกไงให้รอดผลผลิตดี ชาวบ้านปกติก็ทำตามเคยชิน ตามบรรพบุรุษทำค่ะ ผลเหมือนเดิมๆ ถ้าใช้เคมีแต่ไม่บำรุงดินผลจะเห็นเลยว่า ยิ่งปลูกผลผลิตยิ่งแย่ ถามว่าเกษตรสอนอะไร สอนตั้งแต่คุณจะปลูกพืชนี้ที่คุณเคยๆปลูกมันดีที่สุดไหม สภาพดิน อากาศแบบนี้เหมาะกับพืชแบบไหน ควรคัดเลือกเอาพันธ์อะไรมาปลูก พอจะปลูกเม็ดพันธ์คัดยังไง เพาะยังไง เตรียมดินที่ดีทำยังไง ย้ายกล้าตอนไหน ระยะห่างเท่าไร่ ใช้ปุ๋ยแต่ละช่วสูตรไหนบ้าง ทำไมต้องใช้สูตรนั้นๆปริมาณเท่าไร่ถึงจะเหมาะสมกับพืช ถ้าขาดพืชก็เติบโตไม่เต็มที่ เกินก็เปลืองต้นทุน ระหว่างปลูกตัวนี้พืชอาจจะยาว ปลูกอะไรข้างเคียงได้ไหมเป็นอะไรดี หรือจะล่อแมลง ปลูกอะไรไว้ล่อแมลงดี บลาๆ คือเยอะมาก ที่สำคัญเรียนแล้วพอจะรู้ตลาด และผลกระทบต่างๆที่ส่งผลต่อราคา ไม่ใช่ว่าจะปลูกอะไรก็ปลูกราคาตกทำไง
จริงๆถ้าไม่มีคนเรียนเกษตร ข้าวที่ปลูกแล้วรอดตอนน้ำท่วมแล้วลำต้นสูงเป็นเมตรๆคงไม่มี , ปลูกผักปลอดสารคงไม่รู้ทำไง , ขนส่งยังไงให้ดีที่สุดคงไม่รู้ , แมลงตัวไหนเป็นมิตรเป็นศัตรูกับพืขที่เราปลูกคงไม่รู้ ฆ่ามันหมด
เกษตรเป็นศาสตร์ของแผ่นดินค่ะ
..................................
เข้าไปอ่านทั้งหมด ได้ที่ http://pantip.com/topic/35482531 และ http://www.unigang.com/Article/40342