แฉชัชชาติขอใช้งบไม่ตรงปก โรงเรียนปลอดฝุ่นติดแอร์ 30,000 บีทียู 2 ตัว ไม่สนห้องจะเล็กหรือใหญ่

โพสต์โดย : Admin เมื่อ 12 ก.ย. 2566 02:08:50 น. เข้าชม 187410 ครั้ง

อดีตประธานสภาเขตดินแดงชี้ ผู้ว่าฯ กทม.ขอใช้งบไม่ตรงปก ทำโครงการโรงเรียนปลอดฝุ่น 219 ล้านบาท แต่ติดแอร์ 30,000 BTU จำนวน 2 เครื่อง

อดีตประธานสภาเขตดินแดงชี้ ผู้ว่าฯ กทม.ขอใช้งบไม่ตรงปก ทำโครงการโรงเรียนปลอดฝุ่น 219 ล้านบาท แต่ติดแอร์ 30,000 BTU จำนวน 2 เครื่อง ไม่สนว่าห้องจะเล็กหรือใหญ่ แถมไม่คิดถึงเรื่องค่าไฟ ค่าล้างแอร์ บำรุงรักษา สุดท้ายเป็นภาระผู้ปกครองและโรงเรียน

วันนี้ (12 ก.ย.) จากกรณีที่ประชุมสภากรุงเทพมหานครเห็นชอบตัดงบประมาณโครงการห้องเรียนปลอดฝุ่น จากข้อบัญญัติงบประมาณกรุงเทพมหานคร ปี 2567 เมื่อวันที่ 6 ก.ย. ก่อนที่ น.ส.นฤนันมนต์ ห่วงทรัพย์ สมาชิกสภากรุงเทพมหานครเขตคลองสามวา ในฐานะโฆษกสภากรุงเทพมหานคร ชี้แจงว่าเห็นด้วยกับโครงการห้องเรียนปลอดฝุ่นชั้นอนุบาล 6 กลุ่มเขต รวม 429 โรงเรียน 1,743 ห้อง รวมงบประมาณ 219,339,000 บาท ของสำนักการศึกษา แต่ไม่เห็นด้วยกับวิธีการ ซึ่งไม่คุ้มค่ากับงบประมาณ ประกอบกับโครงการโรงเรียนสู้ฝุ่นเดิม นำร่อง 32 แห่ง ที่ กทม.ดำเนินการอยู่ไม่มีการขยายผลต่อยอดแต่อย่างใด

โดยเฉพาะประเด็นที่ติดตั้งเครื่องปรับอากาศขนาด 30,000 BTU จำนวน 2 เครื่อง ในขณะที่สภาพห้องเรียนทุกแห่งมีขนาดที่แตกต่างกัน บางห้องเรียนมีขนาดเพียง 20 ตารางเมตร และบางเขตมีจำนวนห้องเรียนอนุบาลไม่มาก ได้จัดให้เด็กอนุบาลเรียนรวมกัน ไม่มีความจำเป็นต้องติดเครื่องปรับอากาศ BTU ที่สูงและต้องติดตั้งให้ครบทุกห้อง ทำให้สิ้นเปลืองงบประมาณเกินความจำเป็น นอกจากนี้ การติดตั้งเครื่องปรับอากาศจำเป็นต้องมีงบประมาณค่าไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้น รวมถึงค่าบำรุงรักษา ค่าล้างทำความสะอาด แต่ไม่ได้มีการของบประมาณส่วนอื่นให้สอดคล้องกัน อีกทั้งการแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 ต้องทำให้ถูกจุด ทั้งการเพิ่มพื้นที่สีเขียว การให้ความรู้เพื่อให้เกิดการตระหนักรู้ และมีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหา รวมถึงการติดตั้งเครื่องปรับอากาศเพิ่มอาจไม่สอดคล้องกับนโยบายลดภาวะโลกร้อนของผู้บริหารอีกด้วย

เฟซบุ๊ก "อรพินทร์ เพชรทัต" ของ น.ส.อรพินทร์ เพชรทัต อดีตประธานสมาชิกสภาเขตดินแดง โพสต์ข้อความหัวข้อ "ผู้ว่าฯ กทม.ขอใช้งบไม่ตรงปก" ระบุว่า "เราเห็นด้วยอย่างยิ่งกับสภากรุงเทพมหานคร ที่ตัดงบประมาณปี 2567 โครงการห้องเรียนปลอดฝุ่น ซึ่งงบฯ ดังกล่าวใช้เฉพาะห้องเรียนชั้นอนุบาลเท่านั้น ทั้ง 6 กลุ่มเขต รวม 429 โรงเรียน 1,743 ห้องเรียน เป็นจำนวนเงิน 219,339,000 บาท ควรทบทวนใหม่และนำไปแก้ไขให้เหมาะสมและเป็นธรรมต่อทุกฝ่าย เพราะงบฯ ดังกล่าว “ไม่ตอบโจทย์ตามคำขอ” เรื่องห้องเรียนปลอดฝุ่นเลย เช่น

1. จะติดตั้งเครื่องปรับอากาศขนาด 30,000 BTU จำนวน 2 เครื่อง ซึ่งบางโรงเรียนมีขนาดห้องเรียนแตกต่างกัน บางห้องเรียนมีขนาด 20 ตร.ม. ซึ่งไม่มีความจำเป็นต้องติดตั้งเครื่องปรับอากาศขนาด 30,000 BTU เกินขนาดความจำเป็น ทำให้สิ้นเปลืองงบฯ อยากให้ทบทวนขนาดเครื่องปรับอากาศใหม่เพื่อความเหมาะสมของห้องเรียนจริง

2. ไม่มีการวางแผนที่ดีและไม่สอดคล้องกับความเป็นจริง ในการติดตั้งเครื่องปรับอากาศที่ต้องใช้งบฯ ค่าไฟฟ้าที่มากมาย ค่าบำรุงรักษา และค่าล้างทำความสะอาด สุดท้ายค่าใช้จ่ายเหล่านี้จะเป็นภาระให้ผู้ปกครองและโรงเรียน อยากให้ทบทวนและเพิ่มเติมเรื่องนี้

3. การติดตั้งเครื่องปรับอากาศขนาด 30,000 BTU จำนวน 2 เครื่องในห้องเรียน แก้ไขปัญหาฝุ่น PM 2.5 ได้จริงหรือ!! ควรเพิ่มพื้นที่สีเขียวในโรงเรียน หรือติดตั้งเครื่องพ่นละอองไอน้ำแบบฝอย จะดีกว่าหรือไม่

ขอเสนอนะคะ ... เรื่องความปลอดภัยของนักเรียนทุกระดับชั้น จากประสบการณ์จริง เช่น

1. ควรปลูกต้นไม้ เพื่อเพิ่มออกซิเจน และช่วยป้องกันฝุ่น
2️. ติดตั้งเครื่องพ่นละอองไอน้ำ บริเวณอาคารเรียนเพื่อลดฝุ่น
3️. ควรสร้างห้องน้ำที่ถูกสุขลักษณะให้เพียงพอ
4️. ควรเพิ่มแสงสว่างให้เพียงพอตามมุมอับของโรงเรียน
5️. ควรติดตั้ง CCTV เพิ่มและใช้ตรวจสอบได้จริง
6️. ควรมี-ควรเพิ่มอุปกรณ์การเรียน การสอนที่ทันสมัยในชั้นเรียนทุกระดับชั้น
7️. ควรเพิ่ม-ควรมีสวัสดิการครูพี่เลี้ยง และครูผู้ช่วย

หรือเปลี่ยนการใช้งบฯ ดังกล่าว เป็น..
1️. การลอกท่อระบายน้ำในพื้นที่เอกชนที่เดือดร้อนจากน้ำท่วมขังมากว่า 10 ปีขึ้นไป

3️. การเพิ่มแสงสว่างตามจุดเสี่ยงอันตรายด้านอาชญากรรมในทุกพื้นที่ และซ่อมแซมดวงโคมที่ชำรุดทุกเขต

เพราะประชาชนที่อาศัยในพื้นที่เอกชนขาดการดูแลจากเจ้าของที่ดิน หรือเจ้าของโครงการ สำคัญที่สุด ประชาชนทุกคนล้วนเป็นผู้เสียภาษีให้ กทม.เช่นเดียวกัน

ท่านใดที่ไม่ถูกใจโพสต์นี้ เพราะเห็นด้วยกับการใช้งบประมาณที่ไม่คุ้มค่า กรุณาผ่านไปเลย และไม่ต้องเสียมารยาทคอมเมนต์ใดๆ ทั้งสิ้นนะคะ

#งบประมาณคือหยาดเหงื่อของประชาชน"