โพสต์โดย : Admin เมื่อ 18 มิ.ย. 2562 09:17:57 น. เข้าชม 166798 ครั้ง
เรื่องราวชีวิตของ ด.ช.อาทิตย์ มืดคุ้ม หรือ น้องอาร์ม วัย 12 ปี ที่เขียนจดหมายลาครูประจำชั้นขอหยุดเรียนหนึ่งปี ไปทำหน้าที่พี่ชายคนโต ดูแลน้อง 4 ชีวิต เป็นเรื่องที่ถูกพูดถึงในหลายมิติ โดย 1 ในเรื่องที่ถูกพูดถึง ก็คือเรื่องความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา
วันนี้ (18 มิ.ย.2562) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เรื่องนี้ทำให้สำนักงานกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา จัดโครงการ "จดหมายลาครู คืนเด็กกลุ่มเสี่ยงหลุดออกนอกระบบการศึกษาสู่ห้องเรียน" ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง สวนเฉลิมหล้า สะพานเฉลิมหล้า 56 กรุงเทพมหานคร
“กระผม ด.ช.อาทิตย์ นักเรียนป.6 โรงเรียนบ้านใหม่ปฏิรูป ขออนุญาตคุณครูเป็นเวลา 1 ปีเพื่อช่วยยายเลี้ยงน้องๆ เพราะยายต้องไปเก็บของเก่า ผมจึงต้องลาโรงเรียนครับ”
จดหมายของน้องอาร์ม วัย 12 ปีเมื่อวันที่ 16 พ.ค.2562
“ผมขอโทษที่ไม่ได้ทำตามที่ครูบอก ผมสงสารแม่ที่ต้องทำงานหาเงินอยู่คนเดียว ถ้าผมไปเรียนก็ไม่มีใครช่วยแม่ ผมขออนุญาตลาหยุดไปช่วยแม่เก็บลำไย ผมไม่รู้ว่าจะได้กลับมาเรียนอีกเมื่อไหร่ ขอบคุณคุณครูที่ช่วยเหลือมาตลอด ”
ส่วนนี่เป็นจดหมายที่เขียนโดย ด.ช.พงศกร อาสาพิทักษ์ไพร จากอ.อมก๋อย จ.เชียงใหม่
จดหมายลาครูแนวกราฟฟิตี้ ที่จัดแสดงในสวนเฉลิมหล้า สะพานหัวช้าง กรุงเทพฯ เป็นส่วนหนึ่งของนิทรรศการมีชีวิต จากเครือข่ายศิลปินกราฟฟิตี้เพื่อสังคม ที่ได้รับแรงบันดาลใจจากเรื่องจริงของเด็กๆ ในหลายพื้นที่ทั่วประเทศ ที่เขียนจดหมายลาครูไปช่วยดูแลพี่น้อง หรือ แบ่งเบาภาระครอบครัว
ศิลปินกลุ่มนี้ตั้งใจใช้งานศิลปะสะท้อนปัญหาให้คนไทยเข้าใจ และมีส่วนร่วมในการแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา โดยสร้างผลงานศิลปะ 7 แห่งในกรุงเทพมหานคร เชียงใหม่ ขอนแก่นและภูเก็ต
“อยากสื่อสารเรื่องราวในจดหมายมากกว่างานศิลปะชิ้นหนึ่ง”
นายนรรัตน์ ถวิลอนันต์ เครือข่ายกราฟฟิตี้ STREET ART บอกว่า ตรงนี้ถ้าสังเกตจริงเป็นแลนด์มาร์กที่ใหญ่ใน กทม.มีคนเดินผ่านไปมา ถ้าคนที่เดินมาแล้วเขาหยุดดูผลงาน คงจะทำให้เขาเกิดอะไรในใจ ถึงจะเปลี่ยนแปลงไม่ได้ทั้งหมด แต่เป็นจุดเริ่มต้น และสะท้อนว่าครูที่ไม่นิ่งเฉยกับจดหมายลาครู
พวกเขา ได้พบกับเด็กๆ ที่เป็นเจ้าของจดหมาย รวมถึงตัวแทนจาก 4 หน่วยงานที่จะมาแถลงความร่วมมือในการแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาอย่างจริงจัง
ช่วงเช้าที่ผ่านมา ด.ช.อาทิตย์ หรือน้องอาร์ม และด.ช.พงศกร อาสาพิทักษ์ไพร หรือน้องแดง วัย 13 ปี จาก อ.อมก๋อย จ.เชียงใหม่ ซึ่งเป็นเจ้าของจดหมายที่ถูกนำมาสร้างผลงานศิลปะ ได้เป็นตัวแทนของเด็กนักเรียนมาบอกเล่าเรื่องราวของพวกเขา โดยมีคุณครูของทั้งสองคนมาร่วมพูดคุย หลังจากได้รับเสียงชื่นชมว่า เป็นครูที่ไม่นิ่งเฉยต่อปัญหา และทำให้ลูกศิษย์ได้มีโอกาสศึกษาต่อ
หากจะแก้ปัญหานี้เป็นระบบและครอบคลุมเด็กที่มีความเสี่ยงทั่วประเทศ โดยใช้เงินอุดหนุนของ กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา ครู ถือเป็นหัวใจสำคัญในการช่วยเหลือ
นพ.สุภกร บัวสาย ผจก.กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา กล่าวว่า ครูบางคนสังเกตว่ามีลูกศิษย์หายหน้าไป และเราเห็นว่ามีลูกศิษย์บางคนเขียนจดหมายถึงครู ไม่ขอเรียนต่อ และขอหยุดชั่วคราวเป็นความจำเป็นที่ต้องเลี้ยงน้อง เลี้ยงยาย หรือคนใครอบครัวที่พิการ และหารายได้ บางครั้งครูหลายท่านเข้าใจสภาพปัญหา
“ข้อมูลจากกระทรวงศึกษาธิการ และกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา พบว่าปจจุบันมีเด็กไทยมากกว่า 430,000 คน ที่หลุดอยู่นอกระบบการศึกษาภาคบังคับ และมีเด็กยากจน ที่เสี่ยงไม่ได้ศึกษาต่อ ราวๆ 2 ล้านคนทั่วประเทศ”
4 หน่วยงานภาคี คือ สำนักงานกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน กองบัญชาการตำรวจตระเวนชายแดน และกรมส่งเสริมการปกครองส่วนท้องถิ่น ยืนยันว่าจะร่วมมือกันในการแก้ปัญหานี้ ผ่านโครงการเงินอุดหนุนปัจจัยพื้นฐานนักเรียนยากจนพิเศษ โดยใช้ระบบสารสนเทศเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา หรือ iSEE ของกองทุนฯ มาเป็นเครื่องมือติดตาม ค้นหาและช่วยเหลือเด็กๆ ให้ถูกจุดถูกคน ตรงความจำเป็น
โดยเชื่อว่า คุณครูที่อยู่ใกล้ชิดกับปัญหากว่า 400,000 คน จะช่วยกันค้นหา และคัดกรองให้ได้กลุ่มเป้าหมายที่ต้องการความช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน ซึ่งแนวทางนี้ ทำให้ปีการศึกษาที่ผ่านมา มีเด็กยากจนพิเศษกว่า 500,000 คน ได้รับทุนไปแล้ว
การแถลงความร่วมมือระหว่างหน่วยงานต่างๆ เพื่อแก้ปัญหาให้กับเด็กยากจนและด้อยโอกาสได้มีโอกาสเข้าถึงการศึกษาภาคบังคับในวันนี้ถือเป็นสัญญาณที่ดี แต่ถ้าจะทำให้การแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำทางการศึกษามีประสิทธิภาพมากกว่าเดิม ก็อาจต้องช่วยกันสะท้อนไปยังรัฐบาล และทุกส่วนของสังคม ที่อาจจะเริ่มทำความเข้าใจจากจดหมายลาครู ที่เป็นผลงานศิลปะ