เมื่อวันที่ 26 มี.ค. ที่กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รมว.ศธ. เปิดเผยความคืบหน้าการทุจริตเงินกองทุนเสมาพัฒนาชีวิต ระยะเวลา 10 ปี วงเงินกว่า 88 ล้านบาท ว่า เรื่องนี้ตนต้องจริงจัง เพราะการปราบทุจริตคือส่วนหนึ่งของการปฏิรูปการศึกษา ซึ่งความคืบหน้าขณะนี้ก็ทราบว่าสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.) ก็เข้าไปตรวจค้นบ้านนางรจนา ซึ่ง ป.ป.ท.คิดเหมือนตนว่าเรื่องนี้ไม่ได้มีนางรจนาทำคนเดียว ดังนั้นจะต้องตรวจสอบเครือข่ายว่าเชื่อมโยงไปถึงบุคคลใดบ้าง อีกทั้งก็มีสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ป.ป.ง.) เข้ามาตรวจสอบเส้นทางการเงินด้วยเช่นกัน เพราะฉะนั้นเรื่องนี้เราเดินหน้าเต็มที่ โดยประเด็นสำคัญต่อจากนี้จะต้องมีการขยายผล เพื่อปราบทุจริตให้หมดไป
อ่านข่าว ลุยค้นบ้านขรก.ซี8 ศธ. คดีโกงเงินนร. 18 ล้าน ยึดเอกสารหลักฐานไปตรวจสอบ
“รัฐบาลมีหนังสือสั่งการให้ทุกกระทรวงปราบปรามการทุจริต ดังนั้นผมจึงมีหนังสือสั่งการแก้ไขปัญหาทุจริตเพื่อกำชับองค์กรหลัก ศธ.ทุกหน่วยงานดำเนินการตรวจสอบระบบบัญชีของหน่วยงานตัวเองให้มีความโปร่งใสตรวจสอบได้ เพราะเราเห็นกรณีกองทุนเสมาฯ แล้วว่ากองทุนก่อตั้งมา 10 ปี แต่ระบบตรวจสอบกลับมีความบกพร่อง ดังนั้นระบบตรวจสอบบัญชีของทุกหน่วยงาน ต้องตรวจสอบได้ว่าระบบการโอนเงินของหน่วยงานเป็นแบบไหน บุคคลที่รับผิดชอบกับระบบการเงินต้องตอบได้ว่าโอนเงินไปแล้วผู้รับเงินเป็นใคร ซึ่งจะต้องดำเนินการให้ชัดเจน” รมว.ศธ. กล่าว
นพ.ธีระเกียรติ กล่าวอีกว่า ส่วนประเด็น ศธ.ซึ่งเป็นผู้เสียหายนั้น จะต้องพิจารณาเอาผิดกับเจ้าหน้าที่ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับกระบวนการเบิกจ่ายเงินด้วย เพื่อติดตามเงินกลับมามอบให้แก่นักเรียนในโครงการที่ยังไม่ได้รับเงิน
ทั้งนี้ความผิดทางละเมิดนั้นตามหลักเกณฑ์แล้วผู้กระทำผิดต้องรับผิดชอบ 100 เปอร์เซ็นต์ ตามข้อกฎหมายของกระทรวงการคลังว่าใครจะต้องรับผิดชอบจำนวนเท่าไหร่ หากยึดทรัพย์แล้วไม่สามารถนำมาชดใช้ได้ครบ ผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องทั้งอดีตผู้บริหาร ศธ. เจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงิน ผู้บังคับบัญชาชั้นต้น ชั้นกลาง และผู้อนุมัติ จะต้องรับผิดชอบตามสัดส่วนที่เหลือ แม้จะไม่ได้ร่วมกระทำความผิด แต่ได้รับผิดชอบดูแลกองทุนจึงมีความผิดทางละเมิด เพราะถือว่าบกพร่องต่อหน้าที่ ซึ่งความผิดทางละเมิดสามารถทำได้ทันที และจบขั้นตอนที่ ศธ.เท่านั้น ส่วนฝ่ายที่ถูกเรียกชดใช้เงินหาคิดว่าไม่ยุติธรรมก็สามารถฟ้องต่อศาลปกครองได้
ต่อมาเวลา 16.00 น. นายการุณ สกุลประดิษฐ์ ปลัด ศธ.เปิดเผยภายหลังเป็นประธานประชุมคณะอนุกรรมการข้าราชการพลเรือนสำนักงานปลัด (อ.ก.พ.สป.) ศธ. โดยมีวาระพิจารณาโทษวินัยร้ายแรงนางรจนา สินที ข้าราชการระดับ 8 ศธ. ซึ่งใช้เวลาพิจารณากว่า 3 ชั่วโมงครึ่ง ว่า ที่ประชุมมีมติเป็นเอกฉันท์ 7 ต่อ 0 ว่าการกระทำของนางรจนาเป็นการกระทำความผดวินัยอย่างร้ายแรง ฐานไม่ปฏิบัติหน้าที่ราชการให้เป็นไปตามกฎหมาย กฎระเบียบของทางราชการ มติของคณะรัฐมนตรี (ครม.) นโยบายของรัฐบาล และไม่ปฏิบัติหน้าที่ราชการให้เป็นไปตามระเบียบแบบแผนของทางราชการ และฐานรายงานเท็จต่อผู้บังคับบัญชาอันเป็นเหตุให้เสียหายแก่ราชการอย่างร้ายแรง ฐานปฏิบัติหรือละเว้นปฎิบัติหน้าที่ราชการโดยทุจริต ฐานกระทำการอันได้ชื่อว่าเป็นผู้ประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง ตามมาตรา 82 (2) มาตรา 83 (1) (4) และ (7) แห่งพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ.2551
“เพื่อให้สอดคล้องและเป็นไปตามมติ ครม.เกี่ยวกับการลงโทษข้าราชการผู้กระทำผิดวินัยร้ายแรงฐานทุจริตต่อหน้าที่ราชการ ตามหนังสือสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ที่ นร 0205/ว234 ลงวันที่ 24 ธ.ค.2536 จึงมีมติลงโทษไล่นางรจนา สินที ออกจากราชการ โดยให้มีผลทันที
ส่วนการขยายผลไปยังบุคคลอื่นอยู่ระหว่างคณะกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริงกำลังดำเนินการ หากมีใครเข้าเกี่ยวข้องก็จะดำเนินการทางวินัยต่อไป โดย ศธ.จะส่งข้อกล่าวหาให้นางรจนารับทราบ และส่งให้ ป.ป.ท. และป.ป.ง.เพื่อใช้ประกอบดำเนินคดีอีกทางหนึ่งด้วย