โพสต์โดย : Admin เมื่อ 15 ก.ย. 2560 10:42:34 น. เข้าชม 166397 ครั้ง
วิจัยชี้ 7 ลักษณะที่เข้าข่ายว่าลูกคุณ “ฉลาดกว่า” คนอื่นได้
ความฉลาดนั้นไม่ได้เกิดขึ้นจากระดับไอคิว หรือความรู้ที่มีเพียงอย่างเดียว แต่อาจเป็นสิ่งที่สร้างขึ้นได้จากการได้รับข้อมูลใหม่ ๆ และนำมาคิด คำนวณ ใช้เหตุผล จนเกิดการเชื่อมโยงกัน
มีผลการวิจัยพบว่าไอคิวของคนเราถูกกำหนดมาตั้งแต่วัยเด็กแล้ว และไม่สามารถไปเพิ่มมันได้ แต่นอกเหนือจากระดับไอคิวแล้วยังมีอีกหลายปัจจัย อาทิ การเลี้ยงดู สภาพแวดล้อม ลักษณะนิสัย ฯลฯ ที่จะส่งผลให้ลูกของคุณดู ฉลาดกว่า คนอื่นได้
จากงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์หลายชิ้นที่ศึกษามานานกว่า 10 ปี ได้สรุปออกมาว่าลักษณะเหล่านี้จะเป็นบุคคลที่มีแนวโน้ม ฉลาดปราดเปรื่องได้มากกว่าคนปกติทั่วไป
วิจัยชี้ 7 ลักษณะที่เข้าข่ายว่าลูกคุณ “ฉลาดกว่า” คนอื่นได้
มีผลการวิจัยพบว่าไอคิวของคนเราถูกกำหนดมาตั้งแต่วัยเด็กแล้ว และไม่สามารถไปเพิ่มมันได้ แต่นอกเหนือจากระดับไอคิวแล้วยังมีอีกหลายปัจจัย อาทิ การเลี้ยงดู สภาพแวดล้อม ลักษณะนิสัย ฯลฯ ที่จะส่งผลให้ลูกของคุณดู ฉลาดกว่า คนอื่นได้
จากงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์หลายชิ้นที่ศึกษามานานกว่า 10 ปี ได้สรุปออกมาว่าลักษณะเหล่านี้จะเป็นบุคคลที่มีแนวโน้ม ฉลาดปราดเปรื่องได้มากกว่าคนปกติทั่วไป
1เป็นเด็กนมแม่#1เป็นเด็กนมแม่
มีผลจากผลการวิจัยหลาย ๆ ชิ้น เห็นในทิศทางเดียวกันว่า การให้นมแม่นั้นมีประโยชน์ต่อการพัฒนาสมองของทารกเป็นอย่างมาก หากลูกได้กินนมแม่อย่างต่อเนื่องจะช่วยเสริมสร้างการเจริญเติบโตของเซลล์สมอง ส่งผลโดยตรงต่อการเรียนรู้ของเด็ก เสริมสร้างระดับสติปัญญา (IQ) ในเด็กให้เพิ่มขึ้นได้มากกว่าเด็กที่ไม่เด็กที่ได้ดื่มน้ำนม
2 เป็นพี่คนโต#2 เป็นพี่คนโต
ผลการศึกษาจากประเทศนอร์เวย์ในปี 2007 พบว่าคนที่เป็นพี่คนโตมักมีสติปัญญาดีกว่าน้อง ๆ ที่คลานตามกันมา จากตัวอย่างพี่น้องทั้งหมด 250,000 คนพบว่าลูกคนแรกจะมี IQ สูงกว่าน้องคนรองอยู่ประมาณ 3 จุดโดยเฉลี่ย ลูกคนรองจะมี IQ สูงกว่าคนถัดไป 1 จุด โดยไม่ได้ขึ้นอยู่กับยีนหรือพันธุกรรมแต่อย่างใด
คนส่วนใหญ่เชื่อว่าลูกคนโตอาจได้เปรียบน้องคนอื่น ๆ เพราะได้ใช้เวลา และได้รับการเลี้ยงดูเอาใจใส่กับพ่อแม่เต็มที่ และยังพบว่าลูกคนโตจะรู้จักรับผิดชอบในการสอนและดูแลน้อง ทำให้มีวุฒิภาวะและความฉลาดมากกว่านั้นเอง
3 ไม่อ้วน#3 ไม่อ้วน
มีการศึกษาชิ้นหนึ่งในปี 2006 พบว่า เด็กวัย 11 ปีที่มีทดสอบด้านการเรียนรู้ต่ำกว่าปกตินั้น จะมีแนวโน้มเป็นโรคอ้วนเมื่อโต ผู้วิจัยได้อธิบายในทางกลับกันว่าเด็กที่มีโอกาสได้รับการศึกษาที่ดี ย่อมส่งผลต่อการดูแลสุขภาพร่างกายที่ดีได้ด้วยเพราะมีความรู้ ความคิดในการดูแลตัวเอง จึงทำให้มีรูปร่างที่ดี
4 อ่านหนังสือเป็นเร็ว#4 อ่านหนังสือเป็นเร็ว
หากลูกได้มีทักษะการอ่านตั้งแต่อายุยังน้อยเท่าไหร่ก็จะยิ่งมีโอกาสในการพัฒนาความรู้ ความสามารถด้านอื่น ได้รวดเร็วและส่งผลต่อความฉลาดที่เพิ่มขึ้นได้ มีผลการศึกษาของประเทศอังกฤษได้ทำการทดลองคู่แฝดจำนวน 2,000 คู่ พบว่าเด็กคนที่เริ่มหัดอ่านหนังสือก่อนจะมีไอคิวสูงกว่าคู่แฝดที่เริ่มทีหลัง นักวิจัยได้ให้เหตุผลของการที่เด็กที่เริ่มหัดอ่านหนังสือก่อนจะมีไอคิวที่สูงกว่า เพราะว่าการอ่านเป็นส่วนช่วยในการพัฒนาสมองที่สำคัญ เด็กที่อ่านหนังสือเป็นเร็วจะช่วยให้เด็กฉลาดขึ้นนั้นเอง
5 มีแนวโน้มว่าสูง#5 มีแนวโน้มว่าสูง
การศึกษาจากมหาวิทยาลัยพรินซ์ตัยในปี 2008 พบว่า เด็กที่มีความสูงจะมีผลทดสอบด้านไอคิวที่สูงกว่าเด็กทั่วไป และจะมีโอกาสประสบความสำเร็จทางการเงินเมื่อโตเป็นผู้ใหญ่
6 เรียนดนตรี#6 เรียนดนตรี
มีการค้นคว้าจากประเทศเยอรมันบอกว่า การให้ลูกได้เรียนดนตรีมีประโยชน์ต่อกระบวนการเรียนรู้มากเป็นสองเท่าของการเล่นกีฬา เต้น หรือแสดงละครอีก เด็กที่เรียนดนตรีจะมีกระบวนการความคิดที่เด่นชัด ช่วยให้เรียนดี มีทักษะการอ่านเขียนที่ดีขึ้น เรียนรู้ภาษาต่าง ๆ ได้เร็ว ช่วยในด้านความจำ มีความรอบคอบ เพิ่มไอคิว มีความคิดสร้างสรรค์และมีความมั่นใจในตนเอง โดยงานวิจัยในปี 2011 ได้ทำการทดลองกับเด็ก ๆ อายุ 4-6 ปี พบว่าเด็กที่เรียนดนตรีเพียงแค่เดือนเดียวมีผลทดสอบด้านความฉลาดสูงขึ้น
7 เป็นเด็กถนัดซ้าย#7 เป็นเด็กถนัดซ้าย
เคยได้ยินกันไหมค่ะว่า เด็กที่ถนัดซ้ายจะเรียนเก่ง เด็กที่ถนัดขวาจะเป็นนักกีฬา ซึ่งนักวิจัยชาวออสเตรเลียระบุว่าคนที่ถนัดซ้ายนั้นสามารถคิดได้เร็วกว่า และมีแนวโน้มที่เล่นกีฬาเก่งกว่า รวมถึงทำงานที่ซับซ้อนหรือทำกิจกรรมพร้อม ๆ กันหลายอย่างได้ดี สามารถเชื่อมโยงสองสิ่งที่ไม่เกี่ยวข้องกันในเชิงที่มีความหมายได้ มีการคิดวิเคราะห์ที่ดี ซึ่งเป็นลักษณะของความคิดที่แปลกใหม่ เป็นแนวคิดที่คนส่วนใหญ่คาดไม่ถึง
ขอบคุณที่มา : https://th.theasianparent.com/
อ่านต่อ http://www.kruupdate.com/