โพสต์โดย : Admin เมื่อ 19 ต.ค. 2564 11:37:56 น. เข้าชม 166464 ครั้ง
หญิงสาวชาวจังหวัดขอนแก่นร้องเรียนผ่านสื่อ หลังตัดสินใจอยู่กินคบหาฉันสามีภรรยากับข้าราชการระดับสูง (ผู้อำนวยการ) พร้อมกับมีลูกด้วยกันวัยขวบครึ่ง ระหว่างตั้งครรภ์ ผู้อำนวยการท่านนี้แอบไปแต่งงานกับหญิงสาวอีกคนที่จ.อุดรธานี โดยจัดงานใหญ่โต กระทั่งภรรยาจับได้กลับกล่าวหาว่ามีชู้ เด็กที่เลี้ยงไม่ใช่ลูกตัวเอง ทั้งยังบอกกับอธิบดีกรมฯว่าหญิงคนนี้ไม่ใช่ภรรยาตัวเอง
เมื่อเวลา 14.00 น. วันที่ 19 ตุลาคม 2564 นางสาวรุ่ง(นามสมมุติ) อายุ 37 ปี ชาว จ.ขอนแก่น นำเอกสาร ซึ่งเป็นภาพถ่าย สามีภรรยาและพ่อลูก และภาพแต่งงานของสามีกับหญิงอื่น เข้าร้องเรียนกับสื่อมวลชน พร้อมทั้งคลิปเสียง ผอ.ท่านนี้ที่พูดจาในลักษณะข่มขู่พี่สาวหญิงรายนี้ เพื่อเรียกร้องขอความเป็นธรรมให้กับลูกชายวัยขวบเศษ และให้สามีส่งเสียเลี้ยงดู
นางสาวรุ่ง เปิดเผยว่า ตนเคยทำงานในกรุงเทพฯ ช่วงอายุ 24 ปี ได้รู้จักกับ นายพ.(นามสมมุติ) อายุ 55 ปี ปัจจุบันรับราชการในตำแหน่ง ผู้อำนวยศูนย์ฯแห่งหนึ่ง ที่ อ.น้ำพอง จ.ขอนแก่น แล้วก็ไม่เจอกันอีก จากนั้นตนก็แต่งงานมีสามีแล้วมีบุตรด้วยกัน 1 คน แต่ก็เลิกกันไปแล้ว จากนั้นในช่วงปี 2560 นายพ. ย้ายมารับตำแหน่งผู้อำนวยการฯในพื้นที่อำเภอน้ำพอง จ.ขอนแก่น ซึ่งตรงกับปีที่ตนเลิกกับสามีพอดี และเป็นช่วงที่เปิดร้านขายอาหารเพื่อสุขภาพในเมืองขอนแก่น
เมื่อนายพ.ย้ายมาก็ไปมาหาสู่กัน และขอคบเป็นแฟน พร้อมทั้งเอาทะเบียนหย่ากับภรรยาเก่ามาให้ตนและญาติพี่น้องดูว่าไม่มีพันธะ ทุกคนก็เห็นว่า นายพ.เป็นคนมีหน้าที่การงานมั่นคงและไม่มี พันธะอะไร น่าจะเลี้ยงดูตนได้ จึงตัดสินใจคบหา ซึ่งก็ไม่มีปัญหาอะไร ต่อมานายพ.อยากมีลูก จึงปล่อยให้ตั้งครรภ์ตามธรรมชาติ ขณะนั้นนายพ.ถามว่าต้องแต่งงานหรือไม่ ด้วยความที่คิดว่าเป็นการเปลือง และถ้าคนสองคนเข้าใจกันรักกัน ไม่ต้องมีพิธีแต่งงานก็ได้ จากนั้นก็พากันหาซื้อบ้าน พร้อมกับตั้งท้องได้ 3 เดือน ก็ได้ซื้อบ้านและใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันที่บ้านในหมู่บ้านจัดสรรที่ ต.ศิลา อ.เมือง จ.ขอนแก่น ซึ่งนายพ.ได้ให้เงินใช้จ่ายเดือนละ 50,000 บาท
นางสาวรุ่ง กล่าวอีกว่า ช่วงที่ย้ายไปอยู่ในบ้านด้วยกันและท้องได้ 3 เดือนนั้น เริ่มสังเกตได้ว่า สามีเปลี่ยนไป แอบคุยโทรศัพท์ และมักจะไปคอมเม้นใต้โพสของหญิงสาวรายหนึ่ง อายุ 32 ปี ชาวจังหวัดอุดรธานีอยู่บ่อยๆ จึงเก็บความสงสัยเอาไว้ ส่วนท้องก็โตขึ้นทุกวัน ความเปลี่ยนแปลงของสามีก็มีมากขึ้น และให้ตนออกจากงาน ปิดร้านอาหารมาอยู่บ้านเฉยๆ จึงตัดสินใจสืบค้นความเปลี่ยนแปลงของสามี โดยการค้นหาจากชื่อเพื่อนของสามีในเพซบุ๊ก และเจอเฟซบุ๊กของหญิงสาวชื่อเจ(นามสมมุติ) อายุ 32 ปี ชาวจังหวัดอุดรธานี ซึ่งก็ไม่มีอะไรน่าสงสัย แต่เมื่อค้นรายละเอียดจากเฟซบุ๊กของเพื่อนนางสาวเจ ปรากฏว่าพบภาพงานแต่งของสามีตนกับนางสาวเจ ที่ถ่ายร่วมกับเพื่อนๆนับสินคน ซึ่งจัดงานมงคลสมรสในโรงแรมแห่งหนึ่ง ที่จังหวัดอุดรธานี จึงเก็บภาพดังกล่าวไว้
เมื่อสามีกลับมาที่บ้าน จึงเอาภาพให้ดูพร้อมกับถามว่า ทำไมถึงทำเช่นนี้ สามีตอบว่า จำเป็นต้องแต่ง และก็ไม่พูดอะไรอีก ส่วนตนก็ไม่โวยวายเพราะกำลังท้อง อดกลั้นใช้ชีวิตอยู่คนเดียว รอจนลูกคลอดออกมา ซึ่งสามีก็เซ็นรับรองบุตรในฐานะบิดา แต่ชีวิตไม่ราบรื่นอย่างที่คิด เพราะสามีไม่มาสนใจดูแลและไม่ให้เงินทองเหมือนเดิม และในเดือนสิงหาคม 2564 นายพ.ก็ไล่ออกจากบ้าน ไม่ให้อาศัยอยู่ที่บ้านหลังดังกล่าว จึงนำลูกพร้อมของใช้ส่วนตัวออกจากบ้าน กลับมาอยู่ที่บ้านตนเองที่ อ.เมือง จ.ขอนแก่น อยู่กับมารดาและพี่สาว ส่วนสามีก็ไม่เคยโทรหาและไม่เคยโอนเงินให้ ไม่เคยมาดูแลลูก
“ที่ผ่านมานิ่งและไม่โวยวาย ตัดสินใจไปหานางสาวเจที่อุดรธานี โดยนัดเจอกันเพื่อคุยกัน ทำให้ทราบจากนางสาวเจว่า นายพ.ไปคบหาและขอเป็นแฟน โดยบอกว่าตัวเองโสดไม่มีลูกเมีย โดยเอาทะเบียนสมรสไปโชว์ให้ดู นางสาวเจจึงเชื่อ จากนั้นนายพ.ก็ขอนางสาวเจแต่งงานและได้จัดงานมงคลสมรสดังกล่าวขึ้นในโรงแรมที่อุดรธานี ตามภาพที่เพื่อนนำมาลงในเฟซบุ๊กดังกล่าว โดยนางสาวเจไม่ทราบมาก่อนว่า นายพ.มีลูกเมียที่ขอนแก่น ซึ่งจากการสังเกตุปฏิกิริยาของนางสาวเจก็เชื่อได้ว่าไม่รู้จริงๆ แต่ในขณะนี้โดยส่วนตัวเชื่อว่า เมื่อนางสาวเจรู้แล้วก็คงแก้ไขอะไรไม่ได้ เพราะนายพ.ได้ไล่ตนออกจากบ้าน และไม่ดูแลลูกแล้ว กลายเป็นคนโสดที่พร้อมจะดูแลนางสาวเจเพียงคนเดียว
ตนเองอยู่ได้ด้วยกันไหว้พระ สวดมนต์ และรวบรวมหลักฐานต่างๆที่มีไปปรึกษาทนายความ และนำข้อความที่ถูกนายพ.ต่อว่า เข้าแจ้งความให้ตำรวจทำการสืบสวนดำเนินคดีตามกฎหมาย และยังนำหลักฐาน เดินทางเข้าร้องเรียนกับอธิบดีกรมทางหลวง เพื่อขอความเป็นธรรมให้ลูก ให้นายพ.มารับผิดชอบลูก แต่นายพ.ปฏิเสธว่าไม่ใช่ลูกตัวเอง ซ้ำยังกล่าวหาว่าเป็นลูกชู้ โดยนายพ.ยืนยันว่าตัวเองเป็นหมัน มีลูกไม่ได้ ฉะนั้นลูกที่เกิดมาจึงเป็นลูกชู้และท้าทายให้พาลูกไปตรวจดีเอ็นเอ ตนเองจึงทนไม่ได้ที่พ่อไม่ดูแลลูก จึงออกมาให้ข่าว เพื่อที่นายพ.จะได้ออกมายอมรับว่าเป็นพ่อของลูก และเลี้ยงดูลูกเหมือนพ่อคนอื่นๆ เพราะทุกวันนี้ปิดร้านอาหารแล้ว ไม่มีงานทำ จึงไม่มีรายได้มาเลี้ยงลูก รวมถึงฝากถึงนายพ.ว่า อย่าเห็นแก่ตัวลูกตัวเองแท้ๆยังไม่รับผิดชอบเลี้ยงดู