โพสต์โดย : Admin เมื่อ 10 ก.ค. 2564 11:31:29 น. เข้าชม 166520 ครั้ง
“สืบเนื่องจากกรณีที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี โพสข้อความระบุถึงการศึกษาไทย ว่าช่วงสถานการณ์โควิด 19 การปรับตัวเพื่อเรียนออนไลน์ มีความจำเป็นเพื่อความปลอดภัยจากการติดเชื้อ และให้การเรียนการสอนดำเนินไปได้โดยไม่ติดขัด Tablet PC จึงเป็นอุปกรณ์ทางเลือกที่พัฒนาให้นักเรียนรู้จักแสวงหาความรู้ และแก้ไขปัญหาด้วยตัวเอง พร้อมกับปรับบทบาทครูเป็นผู้อำนวยการสอนเท่านั้น จึงหวังว่ารัฐบาลจะนำนโยบาย Tablet PC และการเรียนออนไลน์ เข้ามาใช้ในสถานศึกษาอย่างจริงจัง และลงทุนให้ทุกโรงเรียนของรัฐมีอุปกรณ์การเรียนการสอน ทั้งครูผู้สอนและนักเรียน”
ปลัด ศธ. กล่าวว่า Tablet PC ได้จัดซื้อให้กับนักเรียนชั้น ป.1 ครั้งแรกในปี 2555 จำนวน 8 แสนเครื่องเศษ โดยกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเป็นผู้จัดซื้อให้ ซึ่งได้จัดซื้อจากบริษัทของประเทศจีนโดยตรง ในปี 2556 ได้จัดซื้อครั้งที่ 2 สำหรับนักเรียน ป.1 และ ม.1 ทั้งประเทศ จำนวน 1 แสน 6 หมื่นเศษ โดยใช้วิธีการจัดซื้อแบบ e-Bidding ภายในประเทศไทย และในปี 2557 ได้มีการประเมินผลการใช้ Tablet PC ในการจัดการเรียนการสอนของนักเรียน โดยมีผลสรุปพอสังเขป ดังนี้
สภาพปัญหาการใช้งาน
จนถึงปัจจุบันพบว่า Tablet PC ยังมีจุดที่ต้องได้รับการพัฒนาหลายส่วน คือ
ข้อเสนอสำหรับการจัดหา Tablet PC
ความทุกข์ของผู้ปกครองและเด็ก จากการเรียนผ่านออนไลน์
สังคมโดยรวม ช่วงนี้เวลาที่ครอบครัวที่มีลูกส่วนใหญ่จะเป็นประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการเรียนออนไลน์ในช่วงวิกฤติโควิด 19 พ่อแม่ก็จะบ่นมากหน่อย มีลูกหลากหลายวัย ปัญหาก็จะแตกต่างกันไปในรายละเอียด ถ้าลูกเล็กก็จะบ่นมากเป็นพิเศษ เพราะแทบจะต้องอยู่กับลูกที่บ้านและเรียนไปพร้อมกับลูก ถ้าพ่อแม่ทำงานด้วยก็จะมีรายละเอียดของปัญหามากขึ้นไปอีก ส่วนพ่อแม่ที่มีลูกโตก็มีปัญหาไม่น้อยเหมือนกัน ส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องงานเยอะ การบ้านเยอะ ทำเท่าไหร่ก็ไม่หมด
ในขณะที่เด็กระดับมหาวิทยาลัย ก็จะออกแนวอยากกลับไปเรียนที่มหาวิทยาลัยเสียที ส่วน ครู-อาจารย์ในทุกระดับ ครูระดับเด็กเล็ก เด็กโต เด็กมหาวิทยาลัย ต่างก็มีปัญหาที่แตกต่างกันไป แต่สิ่งหนึ่งที่พูดตรงกันก็คือ การสอนออนไลน์ทำให้แบกภาระหนักขึ้น ต้องเตรียมตัว และหาวิธีการต่าง ๆ รวมถึงเทคนิคการสอนต่าง ๆ เพื่อจูงใจให้เด็กเรียนด้วย แล้วไหนจะต้องคิดถึงวิธีการประเมินผลอีกต่างหาก อยากกลับไปสอนในสถาบันการศึกษามากกว่าสอนทางออนไลน์ ทั้งยังมีคุณครูจำนวนมากและโรงเรียนหลายแห่งไม่ได้มีความพร้อมด้านอุปกรณ์หรือทักษะทางดิจิทัล ครูหลายคนใช้โปรแกรมเช่น Google Classroom, Zoom หรือ Teams ไม่คล่อง ต้องใช้เวลาในการเรียนรู้ และเมื่อได้พูดคุยด้วยกับเด็กหลากหลายวัย ทุกคนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าอยากกลับไปเรียนที่โรงเรียน ไม่อยากเรียนผ่านออนไลน์ด้วยสารพัดเหตุผล เช่น เรียนยากขึ้น เรียนไม่รู้เรื่อง งานเยอะ เรียนได้แย่ลง อยากเจอเพื่อน อยากทำกิจกรรม
สรุปก็คือ ไม่ว่าจะมีโอกาสได้พูดคุยกับใคร ทุกคนล้วนแล้วไม่อยากอยู่ในสภาพต้องเรียนออนไลน์
งานวิจัยจากมหาวิทยาลัยมิชิแกน เรื่อง ผลกระทบของการเรียนออนไลน์ ในผู้ปกครองชาวอเมริกัน 405 คน ที่มีลูกอย่างน้อย 1 คนอายุต่ำกว่า 12 ปี และครึ่งหนึ่งของผู้ปกครองมีลูกอายุระหว่าง 2-5 ปี พบว่า 40% ของผู้ปกครองรู้สึกเครียดจากการที่ลูกต้องเรียนออนไลน์ โดย 25% ให้ข้อมูลว่า บ้านมีอุปกรณ์หรือสภาพไม่พร้อมต่อการเรียนออนไลน์
ในขณะที่ผลสำรวจของ Washington Post จากผู้ปกครองที่มีลูกต้องเรียนออนไลน์ 60 คน พบว่าลูกตัวเองเครียดขึ้น ก้าวร้าวขึ้น เบื่ออาหาร บ่นปวดหลัง มีปัญหาเจ็บตาหรือตาอ่อนล้า
ส่วนงานวิจัยในประเทศจีน สำรวจนักเรียนในมณฑลหูเป่ย ที่อยู่ภายใต้มาตรการล็อกดาวน์ตั้งแต่ต้นปี 2563 โดยเก็บข้อมูลนักเรียนเกรด 2 ถึง 6 จำนวน 2,330 คน ระหว่าง 28 ก.พ.-5 มี.ค. 2563 พบว่ามีนักเรียนมากถึง 40% ที่เผชิญความเครียดและวิตกกังวล
สอดคล้องกับประเทศไทย ที่ล่าสุดมีนักเรียนและนักศึกษาจำนวนมากเครียดจากการเรียนออนไลน์ เพราะไม่สามารถปรับตัวได้ ทำให้เกิดความทุกข์ และมีบางคนที่สุดท้ายก็นำไปสู่โศกนาฏกรรม
ช่วงของสถานการณ์วิกฤติการแพร่ระบาดของโควิด 19 ทำให้เกิดการปรับตัวเป็นชีวิตวิถีใหม่ (New Normal) โดยเฉพาะสถาบันทางการศึกษาที่ไม่สามารถจัดการเรียนการสอนแบบปกติได้ จึงจำเป็นต้องใช้รูปแบบการเรียนการสอนแบบออนไลน์ เพื่อให้การเรียนรู้ต่อเนื่องการเรียนการสอนแบบออนไลน์มีองค์ประกอบ ได้แก่ ผู้สอน ผู้เรียน เนื้อหา สื่อการเรียนการสอน แหล่งเรียนรู้ กระบวนการจัดการเรียนรู้ รูปแบบการเรียนการสอน ระบบการติดต่อสื่อสาร ระบบเครือข่ายเทคโนโลยีสารสนเทศ การวัดและการประเมินผล และเมื่อการเรียนออนไลน์มีบทสรุปเหมือนกับการเรียนปกติ ก็คือ ตัดสินกันที่การวัดและประเมินผลแบบเดิม ซึ่งกลายเป็นเรื่องหนักหน่วงของผู้ที่เกี่ยวข้องทุกฝ่าย
โดยเฉพาะอย่างยิ่งตัวเด็ก มีเด็กจำนวนมากที่ไม่ใช่ทุกข์ใจแค่การเรียนออนไลน์ การทำงานที่มากขึ้น แต่การสอบกลายเป็นเรื่องหนักสุด สืบเนื่องจากผลพวงเรื่องประสิทธิภาพในการเรียนออนไลน์ที่เด็กส่วนใหญ่อยากเรียนที่สถาบันการศึกษามากกว่า เด็กจำนวนมากถอดใจยอมถอยจากระบบ ออกจากโรงเรียนกลางคัน ในขณะที่ระดับมหาวิทยาลัยก็ดร็อปไว้ก่อน
นักเรียนในสิงคโปร์ต้องกลับไปเรียนออนไลน์นาน 10 วันในช่วงปลายเดือน พ.ค. เพื่อที่จะรักษาระยะห่างระหว่างคน เด็กหลายล้านคนทั่วโลกต้องเรียนหนังสือจากบ้าน เพราะเกือบทุกประเทศกำลังเผชิญกับการระบาดใหญ่ของโควิด แม้ขณะนี้นักเรียนจำนวนหนึ่งกลับไปโรงเรียนแล้ว สิ่งที่น่ากังวลในขณะนี้ ไม่ใช่แค่เรื่องช่วงเวลาที่สูญเสียไปของการศึกษา แต่ยังเป็นผลกระทบระยะยาวต่อสุขภาพจิตของเด็กด้วย เด็ก ๆ ทั่วโลกทุกข์ทรมานกับความรู้สึกเครียด ความวิตกกังวล และการโดดเดี่ยวในช่วงที่ต้องล็อกดาวน์และปิดโรงเรียนนานหลายเดือนในช่วงปีที่ผ่านมา ก่อนหน้าที่จะเกิดการระบาด แทบไม่มีการพูดถึงเรื่องสุขภาพจิตในโรงเรียนที่มุ่งเน้นด้านวิชาการในสิงคโปร์ แต่เรื่องนี้กำลังเปลี่ยนแปลงไป
ข้อมูลรูปแบบการจัดการเรียนรู้ของโรงเรียน (จากภาพดังแนบ)
จากข้อมูลของศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด 19 กระทรวงศึกษาธิการ (ศบค.ศธ.) พบว่ามีโรงเรียนที่จัดการเรียนแบบออนไลน์เต็มรูปให้กับนักเรียนจำนวน 7,889 โรงเรียน ซึ่งคิดเป็นร้อยละ 22.46 ในสภาพปัญหาที่เกิดขึ้น มีข้อจำกัดจากการใช้ Tablet PC ในหลายมิติด้วยกัน ดังนี้
ทางเลือกสำหรับการจัดการศึกษาในช่วงสถานการณ์โควิด 19
กระทรวงศึกษาธิการ และสถานศึกษา คำนึงถึงการจัดการศึกษาด้วยรูปแบบที่ใช้ครอบครัวและผู้เรียนเป็นฐาน รูปแบบการจัดการศึกษาการจัดการเรียนการสอน จึงต้องมีความหลากหลายตามความต้องการจำเป็น ทั้งนี้ ต้องเลือกที่เหมาะสมกับบริบทของครอบครัว สภาพพื้นที่ สภาพเศรษฐกิจและสังคม รวมถึงศักยภาพของผู้เรียนเป็นหลัก
การจัดหา Tablet PC เพื่อสนับสนุนการจัดการเรียนรู้ให้กับนักเรียน จึงมีความเหมาะสมและจำเป็นกับนักเรียนเพียงบางกลุ่มบางสถานศึกษาเท่านั้น ซึ่งส่วนใหญ่นักเรียนที่เรียนในระบบออนไลน์ ก็สามารถใช้เครื่องมือที่มีอยู่แล้วในการเรียนรู้ผ่านระบบออนไลน์ที่สถานศึกษาดำเนินการไปแล้ว.