โพสต์โดย : Admin เมื่อ 23 มี.ค. 2564 11:22:05 น. เข้าชม 166475 ครั้ง
23 มี.ค.64 ผู้สื่อข่าวได้ลงพื้นที่บ้านหัวฝาย ม.10 ต.ควร อ.ปง จ.พะเยา หลังมีชาวบ้านในพื้นที่แจ้งมาว่ามีครูสาวท่านหนึ่งใช้ชีวิตสุดแสนรัดทด เสาร์-อาทิตย์บางครั้งต้องเก็บขยะขายเพื่อประทังชีวิต และช่วงที่ทำงานอยู่ศูนย์พัฒนาเด็กเล็กนั้นหากหิวข้าวบางทีก็ต้องรอกินข้าวเหลือที่เด็ก ๆ กินจนอิ่มไปแล้ว
โดย น.ส.นภัสกร ใจเย็น อายุ 39 ปี ครูประจำศูนย์พัฒนาเด็กเล็กแห่งหนึ่งในพื้นที่ ต.ควรได้เล่าเหตุการณ์ชีวิตให้ฟังว่า เดิมที่ตนเองเป็นครูอัตราจ้างตั้งแต่ปี 48 จนเพิ่งมาได้บรรจุตอนปี 57 ที่ผ่านมา ซึ่งมีเงินเดือนอยู่ที่ประมาณ 2 หมื่นบาท แต่ชีวิตกลับพลิกผันโดยก่อนหน้านั้นตนเองได้สร้างบ้านอยู่กินกับแฟนเก่าและมีบุตรสาวด้วยกัน 1 คน ซึ่งตอนนี้เรียนอยู่ชั้น ม.2แล้ว แต่แฟนของตนเองนั้นติดยาเสพ บางครั้งทำร้ายตนเองและถึงขั้นทุบตีลูกสาวจนเข้าโรงพยาบาลมาแล้ว จนตนทนอยู่ไม่ได้จึงได้มาขออยู่กับพี่สาว ซึ่งทางครอบครัวของตนนั้นพ่อแม่แยกทางกันตั้งแต่ตนยังเล็ก ๆ ส่วนแม่คือนางพรรณ สุริโย อายุ 68 ปี ยังอยู่กับตนแต่อยู่บ้านอีกหลังหนึ่ง นอกจากนี้ยังป่วยเป็นโรคปวดตามข้อ เดินเหินก็ลำบาก ทั้งนี้ในช่วงเวลานั้นพี่สาวกำลังรื้อบ้านจึงได้นำแผ่นไม้ขนาดใหญ่ และสังกะสีมาทำเป็นกระต๊อบให้ตนได้อยู่อาศัยไปก่อน
ซึ่งบ้านที่พี่สาวสร้างขึ้นนั้นไม่มีประตูหน้าบ้าน โดยใช้เพียงผ้าผืนใหญ่ ๆ ทำเป็นฉากกั้นส่วนประตูมีแต่ประตูห้องนอน หลังคามุงสังกะสีก็รั่ว บางวันฝนตกตนเองก็ต้องหาภาชนะมารอง จนล่าสุดตนได้นำผ้าเต็นท์มาขึงกันฝนหยดใส่ ในช่วงกลางคืนในบางวันก็มีคนมาเคาะประตูห้องตนหวาดกลัวจนนอนไม่หลับ ก็มีและช่วงนี้เป็นช่วงหน้าร้อนก็ไม่มีเงินซื้อพัดลมก็ได้ยืมพัดลมของชาวบ้านมาใช้ก่อน ทั้งนี้ไฟฟ้าที่ใช้นั้นก็ต่อจากบ้านพี่สาวมาหากวันไหนไฟดับก็จะไม่มีไฟฟ้าใช้เช่นกัน ช่วงการทำงานนั้นตนเองได้ทำงานอยู่ศูนย์พัฒนาเด็กเล็กแห่งหนึ่งในพื้นที่ของ ต.ควร ก่อนไปทำงานนั้นจะห่อข้าวให้ลูกสาวไปโรงเรียนด้วยเหตุไม่มีเงินซื้อข้าวกินเหมือนอย่างคนอื่น ในช่วงพักกลางวันนั้นก็ไม่มีเงินติดตัวมาเหมือนเพื่อนร่วมงาน จนบางทีต้องแอบกินเศษข้าวที่เหลือจากเด็ก ๆ ที่กินอิ่มไปแล้ว ทั้งนี้ตนไม่กล้าบอกใครเพราะกลัวว่าจะมีคนรู้เรื่อง และเอาไปฟ้องต่อผู้บังบัญชาในเรื่องของการแย่งข้าวเด็กกิน ซึ่งตนไม่ได้มีเจตนาที่แย่งข้าวเด็กกินแต่อย่างใด นอกจากนี้ในช่วงเสาร์-อาทิตย์นั้น ตนมักจะเร่เก็บขยะของเก่าไปขายด้วยเพื่อประทังชีวิต
ด้วยครอบครัวที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ทั้งแม่ทั้งพี่สาวก็ไม่ได้รวยหรือมีเงินเหมือนคนอื่น ซึ่งเงินเดือนที่ได้มานั้นก็ต้องหักเป็นค่าเงินกู้สร้างบ้านหลังแรกจำนวน 16,000 บาท และต้องผ่อนรถจักรยานยนต์ของลูกสาวกับของแม่ที่เข้าไฟแนนท์อยู่ จนไม่มีเงินเหลือเก็บหรือซื้อข้าวปลาอาหารเลี้ยงตัวเองกับลูกสาว ส่วนบ้านที่สร้างนั้นตนไม่กล้าเข้าไปอยู่ เพราะกลัวว่าแฟนเก่าของตนกลับมาจากการบำบัดยาเสพติด แล้วจะกลับมาทำร้ายตนอีกหรือไม่ ส่วนลูกสาวนั้นบางวันก็นอนบ้านพี่สาว บางวันก็นอนบ้านแม่ของตน แต่ลูกสาวเป็นคนที่เรียนเก่งมากและยังได้ทุนการศึกษาด้วยเช่นกัน ทั้งนี้ตนอยากได้เพียงบ้านหลังเล็ก ๆ ที่ตนกับลูกสาวพอที่จะอยู่ได้เท่านั้น
ทางด้านนายชูเกียรติ ไชลังกา อายุ 55 ปี ผู้ใหญ่บ้านหัวฝายได้กล่าวว่า ตนและชาวบ้านเห็นใจครูท่านนี้เป็นอย่างมาก ด้วยครูท่านนี้มีจิตใจค่อนข้างเด็ดเดี่ยว มักไม่ค่อยจะบอกเรื่องราวที่ชีวิตรัดทดให้คนอื่นฟัง ทั้งนี้ตัวของครูท่านนี้ชาวบ้านส่วนใหญ่รู้จักนิสัยเป็นอย่างดี ชอบช่วยเหลือชาวบ้านเป็นเด็กที่เรียบร้อยอยู่คนหนึ่งด้วย ขยันขันแข็ง แต่อาจเพราะโชคชะตาที่ทำให้ครูท่านนี้ต้องมาเจอเรื่องราวเหล่านี้ก็เป็นได้ ก็ขออยากวิงวอนให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้เข้ามาช่วยเหลือครูท่านนี้ด้วยเช่นกัน
ด้านนายนายสุจินต์ คำหล้า นายก อบต.แห่งหนึ่ง กล่าวว่า หลังจากได้ทราบเรื่องราวชีวิตของน.ส.นภัสกร ใจเย็น ซึ่งเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของตนก็ตกใจเป็นอย่างมาก เรื่องราวที่เกิดขึ้นในชีวิตของครูท่านนี้ตนก็ไม่เคยทราบมาก่อน เพราะตัวของครูท่านนี้มักเก็บเงียบไม่ค่อยพูดโดยส่วนตัวเป็นคนเงียบ ๆ อยู่แล้ว แต่ด้านการทำงานนั้นครูท่านนี้จริงจังกับการทำงานเป็นอย่างมาก และยังเป็นเด็กที่เรียบร้อยด้วย ทั้งนี้ตนจะเรียกครูท่านนี้มาถามไถ่และจะได้ให้การช่วยเหลือเป็นลำดับต่อไป