โพสต์โดย : Admin เมื่อ 20 พ.ย. 2560 05:59:46 น. เข้าชม 166405 ครั้ง
แก๊งพยานเท็จโดนแล้ว ล็อตแรก ตร.นครพนมแจ้งจับ “ครูอ๋อง” เพื่อนสนิท “ครูจอมทรัพย์” ผู้การจังหวัดเผย “สับ วาปี” ก็ด้วย เตรียมออกหมายเรียกมารับทราบข้อหา ส่วนพยานคนอื่นๆ จะเรียกมาสอบสวน หากพบเข้าข่ายให้การเท็จจะดำเนินคดีทั้งหมด ขณะที่รองโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุดเผยคำตัดสินศาลฎีกา ชี้ชัด มีขบวนการจ้างรับผิด ซึ่งเข้าข่ายเบิกความเท็จต่อศาล มีโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี คนจ้างก็รับโทษเท่ากัน
จากกรณีศาลฎีกายกคำร้องขอรื้อฟื้นคดี ขับรถชนคนตาย ของนางจอมทรัพย์ แสนเมืองโคตร อดีตครูใน จ.สกลนคร หลังพิเคราะห์แล้วเห็นว่าพยานหลักฐานของครูจอมทรัพย์ที่นำสืบในห้วงดังกล่าวไม่มีความน่าเชื่อถือและมีพิรุธ ต่อมาพล.ต.ต.สุวิชาญ ญาณกิตติกุล ผบก.ภ.จว.นครพนม เผยว่าจะดำเนินคดีกับพยานเท็จของครูจอมทรัพย์ ตามที่เสนอข่าวไปแล้วนั้น
ความคืบหน้า เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 19 พ.ย. พล.ต.ต.สุวิชาญ ญาณกิตติกุล ผบก.ภ.จว.นครพนม เปิดเผยว่า สั่งการให้คณะทำงานที่เกี่ยวข้องกับการคลี่คลายคดีครูจอมทรัพย์ หลังศาลมีคำพิพากษา เพื่อดำเนินคดีกับกลุ่มขบวนการที่มีหลักฐานว่าเป็นการสร้างพยานเท็จหรือมีขบวนการรับจ้างทำผิดแทน เบื้องต้นมอบหมายให้ พ.ต.ท.กิตติศักดิ์ สัมฤทธิ์สกุลชัย รอง ผกก.(สอบสวน) สภ.เรณูนคร ในฐานะคณะทำงานสอบสวนคดีครูจอมทรัพย์ในขณะนั้น เข้าแจ้งความร้องทุกข์กับพนักงานสอบสวน สภ.เรณูนคร แล้ว เลขคดีที่ 181/2560 ส่วนในวันที่ 20 พ.ย. มอบหมายให้ พ.ต.ท.อดิศักดิ์ ชมศรีหาราช สารวัตร (สอบสวน) สภ.บ้านกลาง ซึ่งเป็นพนักงานสอบสวน สภ.นาโดน ในช่วงขณะเกิดเหตุ เข้าแจ้งความร้องทุกข์ที่ สภ.เมืองนครพนม และ สภ.นาโดน ท้องที่เกิดเหตุตามลำดับ
พล.ต.ต.สุวิชาญกล่าวต่อว่า ทั้งนี้พนักงานสอบสวนจะดำเนินคดีกับนายสุริยา นวลเจริญ หรือครูอ๋อง ซึ่งเป็นเพื่อนสนิทของครูจอมทรัพย์ ที่เคยนำพยานหลักฐานสำคัญมายืนยันต่อพนักงานสอบสวนว่าครูจอมทรัพย์ไม่ได้กระทำผิด หลังครูจอมทรัพย์พ้นโทษออกมาเมื่อปี 2556 ก่อนจะร้องต่อกระทรวงยุติธรรมเพื่อขอรื้อฟื้นคดี รวมทั้งนายสับ วาปี ที่อ้างว่าเป็นคนขับรถตัวจริง ในความผิดฐานแจ้งความอันเป็นเท็จต่อเจ้าพนักงาน ส่วนคนอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง อยู่ระหว่างรอการสอบสวนขยายผล หากมีส่วนเกี่ยวข้องจะถูกดำเนินคดีทั้งหมด ซึ่งทางพนักงานสอบสวนจะออกหมายเรียกมาสอบสวนดำเนินคดีต่อไป
ผบก.ภ.จว.นครพนม กล่าวต่อไปว่า เนื้อหา สำคัญที่เจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าแจ้งความนั้น พบพิรุธจากหลักฐานในการเข้าแจ้งความ รวมถึงการลงประจำวันที่มาให้การตำรวจ ที่ สภ. เรณูนคร ของนายสุริยา เมื่อวันที่ 23 ธ.ค. 2556 อ้างว่านายเสริฐ รูปสะอาด เป็นคนขับรถตัวจริง ไม่ใช่ครูจอมทรัพย์ จึงต้องการมาลงบันทึกเพื่อนำไปเป็นพยานหลักฐานช่วยครูจอมทรัพย์ ก่อนเงียบหายไป ต่อมาเมื่อวันที่ 19 พ.ย. 2557 นายสุริยาหรือครูอ๋อง นำนายสับ วาปี ไปแจ้งความลงประจำวัน ที่ สภ.นาโดน ท้องที่เกิดเหตุขณะนั้น เพื่อให้ดำเนินคดียืนยันว่าเป็นคนขับรถตัวจริง ทำให้มีคนขับรถถึง 2 คน
“ถือเป็นข้อพิรุธสำคัญที่จะนำเป็นหลักฐาน รวมถึงสำนวนคำให้การที่ศาลจังหวัดนครพนม ในการเบิกความต่อศาลช่วงการพิจารณาไต่สวนรื้อฟื้นคดี 3 วัน ทั้งนี้ทาง เจ้าหน้าที่ตำรวจเชื่อว่า นายสุริยาหรือครูอ๋อง จะเป็นกุญแจสำคัญที่เชื่อมโยงเอาผิดขบวนการรับจ้างทำผิดแทนครูจอมทรัพย์ และจะได้สอบสวนขยายผลต่อไป ขณะเดียวกันหากพยานที่เหลือคนไหน ที่มีการให้การไม่สอดคล้องกัน เมื่อเทียบกับเอกสารหลักฐานของตำรวจกับคำให้การของศาล จะออกหมายเรียกมาสอบสวนว่ามีเจตนาให้การเท็จหรือไม่ หากเข้าข่ายความผิดก็จะดำเนินการแจ้งความดำเนินคดีอีกต่อไป” ผบก.ภ.จว.นครพนม กล่าว
วันเดียวกัน นายประยุทธ เพชรคุณ รองโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด กล่าวว่า เรื่องนี้สังคมได้เรียนรู้หลายอย่างจากคดีนี้ถึงการทำงานของหน่วยงานในกระบวนการยุติธรรม เเละข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการรื้อฟื้นคดีอาญาขึ้นพิจารณาใหม่รวมทั้งผลที่จะตามมา ซึ่งหากเป็นกรณีผู้ที่เกี่ยวข้องใช้สิทธิทางศาลโดยไม่สุจริตหรือที่เรียกว่ามาศาลมือไม่สะอาดด้วย
ในเรื่องนี้ข้อเเรกจะเห็นได้ว่าเมื่อศาลฎีกาได้ยกคำร้องของนางจอมทรัพย์ ย่อมเป็นการยืนยันว่าคำพิพากษาของศาลฎีกาในคดีที่พิพากษาลงโทษจำคุกเป็นเวลา 3 ปี 2 เดือนในข้อหาขับรถโดยประมาทชนผู้อื่นตายเเละหลบหนีไม่หยุดให้ความช่วยเหลือหรือเเจ้งเหตุต่อเจ้าหน้าที่ทันที ซึ่งครูจอมทรัพย์ได้รับโทษออกมาเเล้วเป็นคำพิพากษาที่ถูกต้องทุกประการ หรือสรุปสั้นๆ คือ นางจอมทรัพย์ไม่ใช่ “เเพะ” ตามที่เป็นข่าว หากเเต่เป็นบุคคลที่กระทำผิดอาญาตามที่ศาลฎีกามีคำพิพากษาจำคุก เเละที่สำคัญที่สุดคือกว่าที่ศาลฎีกาจะมีคำพิพากษาลงโทษ ได้ผ่านการทำงานของหน่วยงานยุติธรรมหลายหน่วย งาน ไม่ว่าจะเป็นสำนักงานตำรวจเเห่งชาติ สำนักงานอัยการสูงสุด เเละศาลยุติธรรม ย่อมเเสดงให้เห็นว่าต่างก็ได้ทำหน้าที่ของตนเองอย่างเต็มที่เเล้ว
ยิ่งโดยเฉพาะคดีนี้มีการพิจารณาถึงสามชั้นศาล นับว่ามีการพิเคราะห์ข้อเท็จจริงเเละข้อกฎหมายอย่างเต็มที่เเล้ว ประเด็นที่สังคมหรือประชาชนอาจสงสัยก็คือเเล้ว อย่างไร ถึงจะรื้อฟื้นคดีอาญาขึ้นพิจารณาใหม่ได้ ในข้อนี้ขอชี้เเจงในเบื้องต้นว่าสาเหตุที่มีการตรา พ.ร.บ.การรื้อฟื้นคดีอาญาขึ้นพิจารณาใหม่ พ.ศ.2526 นั้นก็เนื่องมาจากมีความเชื่อว่าการตัดสินคดีอาญาของศาลอาจเกิดข้อผิดพลาดคลาดเคลื่อนได้ โดยเฉพาะขณะที่ตัดสินไม่มีพยานหรือข้อเท็จจริงปรากฏในชั้นพิจารณาของศาล ซึ่งหลักกฎหมายนี้ให้โอกาสคนที่ถูกลงโทษจำคุกตามคำพิพากษาถึงที่สุดของศาล มีสิทธิขอให้ศาลรื้อฟื้นคดีอาญาขึ้นมาพิจารณาใหม่ได้ ถ้าผู้ที่ต้องคำพิพากษาไม่ได้กระทำผิดหรือเขาเป็นเเพะ
เรื่องนี้มีการวางหลักไว้ในมาตรา 5 ของ พ.ร.บ.รื้อคดีอาญาฯ ที่มีสาระสำคัญคือ 1.พยานหลักฐานใหม่อันชัดเเจ้งเเละสำคัญเเก่คดี ซึ่งถ้าได้นำมาสืบในคดีอันถึงที่สุดไปนั้นจะเเสดงได้ว่าผู้ที่ถูกลงโทษไม่ได้กระทำผิด หรือ 2.มีคำพิพากษาถึงที่สุดว่าบุคคลที่มาเบิกความจนศาลรับฟังไปลงโทษนั้นเบิกความเท็จ เเละ 3.มีคำพิพากษาถึงที่สุดว่าพยานเอกสารที่ศาลฟังลงโทษนั้นเป็นเอกสารปลอม กรณีถ้ามีข้อเท็จจริงอย่างใดอย่างหนึ่งดังกล่าวศาลจะให้รื้อฟื้นคดีขึ้นมาพิจารณาใหม่ เเละจะพิพากษาเพิกถอนคำพิพากษาเดิมที่ลงโทษเเละมีคำพิพากษาใหม่ โดยยกฟ้องคดีเดิมเพื่อยืนยันว่าผู้ร้องเป็นผู้บริสุทธิ์ เเละคืนสิทธิต่างๆ ตามกฎหมายให้ด้วย
นายประยุทธกล่าวต่อว่า สำหรับคดีครูจอมทรัพย์ที่ได้ยื่นคำร้องคดีนี้โดยอ้างเหตุว่าเขาไม่ได้ขับรถชน โดยมีนายสับ วาปี ไปจ่ายค่าเสียหายทางเเพ่งให้ญาติผู้ตาย เเต่เมื่อทางเจ้าหน้าที่ตำรวจลงไปตรวจสอบข้อเท็จจริงกลับปรากฏว่าไม่ได้เป็นเช่นนั้น ซึ่งจากการตรวจสอบพบว่ามีพยานหลักฐานบ่งชี้ยืนยันว่าเป็นขบวนการว่าจ้าง จนเป็นที่มาของการนำสืบเเสดงให้ศาลเห็นจนยกคำร้องในคดีนี้
“ตรงนี้จึงต้องขอชื่นชมเจ้าหน้าที่ตำรวจเเละพนักงานอัยการจังหวัดนครพนมที่ทำหน้าที่อย่างเต็มที่เข้าไปคัดค้านคำร้องของครูจอมทรัพย์จนศาลฎีกายกคำร้อง ซึ่งมีคำวินิจฉัยไว้ในคำพิพากษาศาลฎีกาหน้าที่ 39 เเละ 40 ได้ชัดเเจ้งว่า เรื่องนี้มีขบวนการว่าจ้างให้มีการสมอ้างเป็นคนขับรถคันดังกล่าว เเละได้ยกคำร้องของนางจอมทรัพย์” นาย ประยุทธกล่าว
นายประยุทธกล่าวต่ออีกว่า ในเมื่อศาลฎีกาได้วินิจฉัยไว้คำพิพากษาว่ามีขบวนการว่าจ้างให้นายสับมาสมอ้างว่าเป็นคนขับรถชน ผู้ตายเเล้วต่อไปจะได้รับผลตามกฎหมายอย่างไรบ้างนั้น ประเด็นนี้เรียนว่าโดยหลัก เเล้วการฟ้องคดีหรือการเบิกความต่อศาลจะต้องกระทำโดยสุจริตหรือมาศาลมือสะอาด ดังนั้นหากไม่สุจริตหรือเอาความเท็จในข้อสำคัญทางคดีมาเบิกความต่อศาลก็เข้าข่ายมีความผิดฐานเบิกความเท็จ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 177 ได้ ซึ่งความผิดฐานเบิกความเท็จมีอัตราโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี ไม่ว่าจะเป็นคนเบิกความหรือคนที่ได้จ้างวานก็จะมีความผิดเช่นเดียวกัน เเต่การดำเนินการต่อไปอย่างไรในเรื่องนี้ตนจะไม่ขอก้าวล่วง เนื่องจากเป็นอำนาจหน้าที่ของพนักงานสอบสวนที่ต้องดำเนินการต่อไป