ความเป็นมา
ผมเขียนบทความนี้ครั้งแรก จัดทำเป็น Power point สำหรับบรรยายให้กับคณะครูเขตพื้นที่การศึกษาจังหวัดตาก เขต ๒ เมื่อปี ๒๕๕๐ โดยเผอิญไปเยี่ยมเยือนโรงเรียนแห่งหนึ่ง แล้วไปเห็นบนกระดานดำ ครูเขียนคำว่า "ป้า" ไว้ ผมลองเขียนคำใหม่ว่า "ม้า" นักเรียนทุกคนตอบว่ายังไม่ได้เรียน อ่านไม่ได้ ผมลองให้นักเรียนสะกดคำ นักเรียนก็สะกดได้และอ่านเป็นคำได้ ผอ.ที่ไปด้วยจึงชวนผมมาชี้แนะปัญหา และสะกิดครูให้ตระหนัก และใส่ใจกับเรื่องนี้
แต่ก่อนที่จะไปกระตุ้นครู ผมได้ทำแบบสำรวจสภาพปัญหาและสาเหตุการจัดการเรียนการสอนภาษาไทยกับครูผู้สอน และนักเรียนจำนวนหนึ่ง ซึ่งส่วนหนึ่งมาจากประจักษ์พยานต่อสายตาและหูผู้บริหาร ที่ผมได้ทดสอบนักเรียน และสอบถามครูด้วยวาจา พบว่า การที่ครูสอนภาษาไทยไม่ได้ผล เพราะครูส่วนมากสอนให้นักเรียนอ่านตามหนังสือแบบเรียน โดยครูไม่มีหลักการ/ขั้นตอนการสอนที่เป็นไปตามกระบวนการเรียนรู้ในเรื่องนั้นๆ
ไม่ว่าจะเป็นการสอนเรื่องการจับใจความ ครูก็มักสั่งให้นักเรียนอ่านข้อความที่กำหนดให้ แล้วจับใจความเลย ทั้งๆที่ยังไม่ได้ฝึกตามลำดับขั้นตอนแต่อย่างใด, การเขียนเรียงความก็สั่งให้เขียน ๑ หน้ากระดาษ ๓ ย่อหน้า โดยที่ยังไม่ได้ฝึกกระบวนการขั้นตอนการเขียนเรียงความใดๆ โดยเฉพาะการวางโครงเรื่อง(Plot) ซึ่งถือเป็นหัวใจของการเขียนเรียงความ ผมยังไม่เคยเห็นครูโรงเรียนไหนฝึกนักเรียนให้ประจักษ์สายตาแต่อย่างใด เวลาตรวจก็อาศัยการเปรียบเทียบว่าใครสำนวนดีกว่ากัน ก็ให้คะแนนคนนั้นสูงหน่อย ไม่มีหลักการหรือเกณฑ์ใดๆ ที่ร้ายกว่านั้นกลับไปเห็นว่าการเขียนตามจินตนาการ คือ การเขียนเรียงความ ใครจินตนาการดีให้คะแนนสูงมากทีเดียว
ซึ่งก็ไม่ได้เป็นเฉพาะโรงเรียนในเขตนี้เท่านั้น จากการที่ผมเป็นผู้ประเมินภายนอกโรงเรียน ได้ไปประเมินโรงเรียนทั่วประเทศไม่น้อยกว่า ๒๐๐ โรง พบว่า เป็นไปทำนองนี้ทุกโรงเรียน
ผมจึงถ่ายทอดจาก Power point มาเป็นเอกสารธรรมดา เผื่อมีผู้สนใจ ลองนำไปปฏิบัติตาม แต่ที่จริงที่ผมเขียนขึ้น ก็ไม่ได้แปลกไปจากการที่วิทยากร หรือ ศน.แต่ละเขตพื้นที่การศึกษา ดำเนินการประชุมอบรมให้ความรู้แก่ครูเป็นประจำ รวมทั้งเอกสารตำราหลักการสอนภาษาไทยในระดับมหาวิทยาลัย หรือคู่มือหลักสูตรภาษาไทย ของกระทรวงศึกษาธิการแต่อย่างใด ผู้ใฝ่รู้สามารถไปค้นคว้าดูได้
แต่ผมสงสัยว่า เป็นเพราะเหตุใด ทำไมครูตามโรงเรียนต่างๆ จึงไม่ตระหนักเห็นคุณค่า นำไปใช้ในการจัดการเรียนการสอนอย่างจริงจังเป็นระบบ ฝึกนักเรียนอย่างมีขั้นตอนในการสอนสักที น่าคิดนะครับ ว่าเป็นความรับผิดชอบของใคร แต่ในทัศนะผมถือว่าเป็นความรับผิดชอบของผู้อำนวยการโรงเรียน ตามบทความที่ผมเขียน "ตัวการที่ทำให้การศึกษาไทยล้มเหลวและไร้ประสิทธิภาพ" ไว้
ส่วนมากผู้บริหารโรงเรียนที่ผมประสบพบปะ ไม่ค่อยมีภาวะผู้นำทางวิชาการเท่าใด ตรวจแผนการสอนครูก็ไม่ได้เป็นกิจลักษณะ เซ็นรับรองอย่างเดียว ให้คำแนะนำหรือความรู้ในการสอนก็ไม่ค่อยจะมี ไม่ค่อยมีบทบาทในการกำกับ ติดตามการทำงานของครูให้เป็นระบบเท่าใด แต่ชอบเป็นผู้อำนวยการกันนัก รับผิดชอบกันหน่อยครับ เงินเดือนและเงินประจำตำแหน่งเยอะมาก แต่ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนออกมาไม่ถึงครึ่ง
ถ้าผู้บริหาร และครูช่วยกันทำให้การสอนทุกวิชาสอนตามหลักการ/ขั้นตอนที่เป็นไปตามกระบวนการเรียนรู้ หรือจิตวิทยาการเรียนรู้ทุกเรื่องที่จัดให้นักเรียนเรียน ผลของการเรียนรู้จะได้คุณภาพมาตรฐานเกินครึ่งแน่นอน
.................................
แนะนำพื้นฐานการเรียนภาษา
การสื่อสาร เป็นธรรมชาติของสัตว์สิ่งมีชีวิต
การเรียนรู้ภาษา เป็นพื้นฐานชีวิตของมนุษย์ Language-based Learning
- เพราะภาษาเป็นสะพานเชื่อมระหว่างจิตใจกับวิถีชีวิตมนุษย์ และมนุษย์กับมนุษย์
- เพราะมีภาษาจึงสามารถสื่อสารความรู้สึก ความนึกคิด ความต้องการได้ดี
- เพราะมีภาษาจึงสามารถถ่ายทอดความรู้ ประสบการณ์ให้แก่กันและกัน สังคมและโลกจึงพัฒนามาได้อย่างก้าวกระโดด
………………………
ภาษาแห่งการเรียนรู้
เสียง - ทำนอง เป็นธรรมชาติการสื่อสาร(ภาษา)ของสรรพสัตว์
แต่....ถ้อยคำ และระดับของภาษาเป็นวิวัฒนาการของมนุษย์ ที่สัตว์ไม่มี
- ภาษาเป็นสิ่งที่ใช้พัฒนาคุณภาพชีวิตมนุษย์
- ภาษาจะไม่เกิดขึ้น ถ้าปราศจากประสบการณ์
- แต่ประสบการณ์จะไม่เกิดการรับรู้ได้ ถ้าไม่ใช้ภาษา
- การอ่านเป็นศูนย์กลางของการพัฒนาทักษะทางภาษาชั้นสูง
...................................
ทำไมต้องมาอบรม มาประชุมเพื่อพัฒนาการสอนภาษา
- เพื่อปรับปรุงการเรียนการสอน ให้นักเรียนรู้และใช้ภาษาสื่อสารอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
- เพื่อแปลงสิ่งที่ได้จากประสบการณ์ในการฟัง พูด อ่าน เขียน เป็นการเรียนรู้
- เพื่อพัฒนานักเรียนให้ใฝ่รู้ กระตือรือร้นในการเรียนรู้ผ่านโลกหนังสือ
- เพื่อช่วยนักเรียนเปิดโลกกว้าง หรือต่อยอดความสามารถทางการศึกษา และวิถีชีวิต
.................................
สภาพปัญหาการจัดการเรียนการสอนภาษาไทยในปัจจุบัน
มีปัญหาซึ่งยังไม่มีคำตอบที่ชัดเจนว่า (จริงๆไม่กล้าสรุปให้สังคมรู้ ทั้งๆที่รู้ความจริง) ทำไมเด็กทุกวันนี้จึงอ่อนภาษาไทย (อ่านไม่คล่อง เขียนไม่คล่อง อ่านผิด พูดผิด เขียนไม่ได้เรื่อง) ทั้งนี้เป็นเพราะ
- ใช่สาเหตุที่ว่ากระทรวงเปลี่ยนหลักสูตรหนังสือแบบเรียนภาษาไทยบ่อยหรือไม่
- หรือเป็นเพราะว่ากระทรวงศึกษาธิการบังคับให้ครูสอนอ่านเป็นคำ เป็นประโยค ไม่ยอมให้สอนแบบสะกดคำผันเสียงเหมือนในอดีตหรือไม่
- หรือเป็นเพราะว่าเด็กสมัยนี้ไม่สนใจอ่านหนังสือ มัวแต่ไปดูโทรทัศน์ ภาษาที่ดีๆจึงแย่ลง
- หรือเป็นเพราะว่าครูสอนภาษาไทยไม่เข้าใจ(ไม่มี)หลักการ กระบวนการ ขั้นตอนที่ดีในการสอนภาษาไทยกันแน่
- ผู้อ่านตอบเอาเองแบบใดก็ได้ แต่ในทัศนะของผู้เขียนปัญหาส่วนมากเกิดจากสาเหตุข้อสุดท้าย
................................
ครูภาษาไทยที่ดี
- แม่นหลักสูตร (รู้จุดมุ่งหมาย ขอบเขตเนื้อหา ธรรมชาติวิชาการสอนภาษาไทย)
- รู้หลักการ รู้ขั้นตอนกระบวนการฝึก การสอนภาษา
- รอบรู้เรื่องราว และวรรณกรรมอดีตทั้งเก่า และใหม่
- ร่ำรวยภาษา (ทั้งไวพจน์ ระดับภาษา ที่มาของภาษา และยิ่งถ้ารู้คำในภาษาทุกชาติยิ่งดี)
- มีนิทาน มุขขำขัน(การเล่นคำ ใช้คำ) มาเล่าทุกวัน
- น้ำเสียงมีชีวิตชีวา และได้รสชาติในการอ่าน การเล่า และการสอน
.......................................
คุณลักษณะของการเรียนรู้ทางภาษา
- ต้องช่วยพัฒนา
- ทักษะชีวิต
- ทักษะกระบวนการ
- ทักษะสังคม
- ต้องช่วยกระตุ้น
- ทัศนคติเชิงบวก
- ความคิดรวบยอด (มโนทัศน์ – ภาพพจน์ – ภาพลักษณ์)
.................................
เราสามารถยกระดับการสอนภาษาไทยให้มีประสิทธิภาพได้โดย....
- วิเคราะห์สาเหตุให้ได้ว่าทำไมนักเรียนจึงมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนภาษาไทยไม่ถึงครึ่ง
- ทำไมนักเรียนรุ่นหลังๆ ใช้ภาษาที่ผิดพลาด ไม่ถูกต้อง ฟุ่มเฟือย ทำให้ไม่เข้าใจ หรือเข้าใจผิดในการสื่อสาร ต่อกัน ตีความคำพูดผิด
- หาให้ได้ว่าปัญหาการสอนภาษาที่ได้ผลสำเร็จน้อยนั้น แท้จริงอยู่ที่ใด ใครเป็นผู้ควรรับผิดชอบ
- หลักสูตร, หนังสือแบบเรียน
- โรงเรียน, ครู, กระทรวงศึกษาธิการ
- พ่อแม่, ผู้ปกครอง
- นักเรียน
- สังคม, สื่อมวลชน
ครู และสังคมต้องช่วยกันทำให้นักเรียนเกิดการเรียนรู้ และความสามารถในการใช้ภาษาอย่างแท้จริง
............................
ถ้าทำได้ นักเรียนจะเปลี่ยน...
- จากภาษาใจ สู่ ภาษาพูดและภาษาเขียน ที่สะท้อนความคิด ความรู้สึก ความต้องการของตัวเองได้ชัดเจน
- จากการฟังและการพูดตามใจฉัน เป็น การสื่อสารที่มีประสิทธิภาพรับผิดชอบ
- จากการที่ได้แต่ความรู้เนื้อหาเรื่องราว เป็นความเข้าใจในกระบวนการใช้ภาษา และสามารถใช้ภาษาได้ดี
- จากการมัวแต่รอพึ่งผู้อื่นให้ เช่น ครู เป็น การเรียนรู้และสร้างองค์ความรู้ด้วยตัวเองจากเข้าใจภาษาได้ดีขึ้น
- จากการท่องจำและทำซ้ำๆ เป็น การค้นพบ และพัฒนาภาษา
- จากรอทำตามคำสั่ง เป็น อยากเรียนด้วยตนเอง
..............................
การเรียนรู้ภาษาที่ควรจะเป็น ครูต้องยกระดับการสอนภาษาให้ได้ ๓ ระดับ
๑. ฟังได้ พูดได้ อ่านได้ เขียนได้
๒. ฟังเป็น พูดเป็น อ่านเป็น เขียนเป็น
๓. ฟังได้ดี พูดได้ดี อ่านได้ดี เขียนได้ดี
.................................
ฟังได้ พูดได้ : เป็นพื้นฐานของคนทั่วไป
อ่านได้ เขียนได้ : เป็นพื้นฐานชีวิตของสังคมมนุษย์
อ่านได้
- แจกลูกได้ สะกดคำได้ ประสมคำได้
- อ่านเป็นคำ เป็นวลีได้
เขียนได้
- เขียนเป็นตัวอักษรได้ เขียนตามคำบอกได้
- เขียนสะกดเป็นตัวได้ ประสมเป็นคำได้
.........
พูดเป็น ฟังเป็น อ่านเป็น เขียนเป็น : แสดงว่ามีทักษะทางภาษา
อ่านเป็น
- อ่านเป็นกลุ่มคำได้ เป็นประโยคได้ เป็นข้อความได้
- อ่านเป็นเรื่องราวได้
เขียนเป็น
- เขียนเป็นประโยคได้ เป็นข้อความได้
- เขียนเล่าเป็นเรื่องราวได้
พูดเป็น
- พูดชี้แจงได้
- พูดเล่าเรื่องราวได้
ฟังเป็น
- ฟังแล้วคิดสะกิดใจ
- ฟังแล้วเข้าใจเรื่องราวที่ได้ยิน
.............
ฟังได้ดี พูดได้ดี อ่านได้ดี เขียนได้ดี : แสดงว่าเก่งภาษา, มีความสามารถในการใช้ภาษาได้ดี
ฟังได้ดี
- เข้าใจความคิด ความรู้สึก ความต้องการของผู้พูด
- เข้าใจนิสัย จิตใจของผู้พูดได้
- เชื่อมโยงสิ่งที่ฟังได้
พูดได้ดี
- อธิบายได้ชัดเจน เข้าใจง่าย
- รู้จักพูดซักถามจนได้ข้อมูล ข้อเท็จจริง
- พูดจูงใจได้ โน้มน้าวใจได้ ให้กำลังใจได้ สร้างความประทับใจได้
อ่านได้ดี
- อ่านได้เร็ว
- ต้องฝึกหัดอ่านในใจ เพราะอ่านใจเป็นหัวใจของของการอ่านเพื่อพัฒนาความรู้
- อ่านเอาเรื่อง
- เข้าใจความนัยเรื่องที่อ่าน
- ใช้ประโยชน์จากเรื่องที่อ่าน
- เชื่อมโยงสิ่งที่อ่านได้
- อ่านออกเสียง
- อ่านให้ได้จังหวะ ตามวรรค ตามประโยค ตามบริบทเรื่องราว
- อ่านถูกต้อง เสียงอักขระชัดเจน มีท่วงทำนอง เน้นเสียงภาษาตามรูปถ้อยคำ มีพลังเสียง
- อ่านให้ได้ทั้งอรรถรส ธรรมชาติภาษา ที่สะท้อนให้เห็นถึงความรู้สึก ความนึกคิด ความต้องการที่ตั้งใจสื่อสาร
จึงจะเห็นความไพเราะทางภาษา
- เขียนได้ดี
- สรุปย่อให้กะทัดรัดได้
- เขียนเรียบเรียงเรื่องราวได้
- เขียนจูงใจได้ โน้มน้าวใจได้ ให้กำลังใจได
- ถ้าเขียนจนชวนให้เคลิบเคลิ้ม หวานใจ ตายใจได้ ถือว่าเยี่ยม
..........
รายละเอียดการสอนแต่ละประเภท ผมแยกออกเป็นเรื่องๆไว้แล้ว
คำส่งท้าย : ทั้งหมดที่ผมเขียนมา ไม่ใช่สูตรสำเร็จ แต่จากที่ตัวเองพัฒนาการสอนภาษาไทยมาตลอด ตั้งแต่เป็นครูปี พ.ศ.๒๕๑๖ เป็นต้นมา การสอนที่ฝึกนักเรียนตามขั้นตอนการเรียนรู้ จำนวนนักเรียนที่ทำคะแนนไม่ต่ำกว่าครึ่งเป็นเครื่องยืนยันผลสำเร็จ นักเรียนสามารถทำแบบทดสอบไม่ว่าระดับประเทศ ระดับเขต ระดับจังหวัด ไม่เคยต่ำกว่า ๕๐ เปอร์เซ็นต์ และถ้าใช้การวางเงื่อนไขตามแนวทางการเรียนเพื่อรอบรู้ของบลูม ก็ไม่เคยต่ำกว่า ๖๐ เปอร์เซนต์ แต่บางโรงเรียนต้่องแอบทำนะครับ เพราะฝ่ายวิชาการบางโรงเรียน มักห้ามดำเนินการ อ้างว่าผิดระเบียบทางราชการต่างๆนาๆ แล้วแต่จะหาข้ออ้่าง ทั้งๆที่ระเบียบให้ครูคิดค้นพัฒนาการสอนใหม่ๆได้ ก็ไม่รู้ว่าในปัจจุบันหลายโรงเรียนยังเป็นอย่างนี้อยู่หรือเปล่า
แต่เป็นที่น่าละอาย เวลาตัวเองเป็นผู้บริหารเองบ้าง เป็นที่ปรึกษาโรงเรียนบ้าง สอนครูในมหาวิทยาลัยบ้าง กลับไม่สามารถผลักดันให้ครูส่วนใหญ่สอนอย่างมีหลักขั้นตอนตามนี้ได้เลย เพราะครูส่วนมาก พอถูกบังคับให้สอนเป็นระบบ มีหลักมีขั้นตอนการสอน มักจะอึดอัดใจ พากันไประบายหรือร้องเรียนกับผู้บริหารระดับสูงกว่าทุกโรงเรียนไป และผู้บริหารเหล่านั้นก็มักจะมาขอร้องให้เพลาๆลงหน่อย หนักเข้าผมก็เลยต้องปลง และทำใจ ถือว่าเป็นเวรกรรมของนักเรียนชุมชน/สังคมนั้นๆ ที่ทำให้ได้ครูและผู้บริหารเหล่านั้นมาทำงาน ที่ผมเลิกสอน เลิกประเมิน เลิกสนใจเข้าไปแก้ไขพัฒนาการศึกษาของประเทศไทยอีก ก็เพราะเหตุนี้เองครับ ที่เห็นใจผู้บริหารโรงเรียนก็ส่วนนี้อีกเช่นกันครับ
แต่ผมก็อยากเห็น ฝันว่าคนรุ่นหลัง คงเก่งกว่าผม สามารถเอาชนะปัญหาอุปสรรคเหล่านี้ได้ในที่สุด
เอาใจช่วยครับ